ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 583 ความปรารถนาอันแรงกล้าของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ตอนที่ 583 ความปรารถนาอันแรงกล้าของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ตอนที่ 583 ความปรารถนาอันแรงกล้าของเสิ่นอวี้อิ๋ง
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลก็ตื่นแล้ว เอาแต่จ้องมองเพดานห้องด้วยความงุนงง ไม่ร้องไห้หรือโวยวายแม้แต่น้อย
เสิ่นอวี้อิ๋งเห็นแล้วก็คิดในใจว่าเด็กที่ตนให้กำเนิดอาจจะเป็นเด็กโง่
ถ้าเด็กคนนี้เป็นคนโง่จริง ๆ หล่อนก็ไม่อยากเลี้ยงและจะส่งเด็กทารกไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าโดยเร็วที่สุด
หนทางเดียวที่หล่อนจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้คือการกำจัดภาระชิ้นนี้เท่านั้น
หล่อนหยิบโฆษณาออกมากกระเป๋ากางเกงแล้วอ่านอย่างละเอียด รู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิมว่ามันคือแสงสว่างของชีวิต
ในโฆษณายังระบุด้วยว่าผู้ที่มีผลการเรียนดีเด่นจะได้ทำงานที่นั่นอีกด้วย
หลินเซี่ยเปิดร้านทำผมไม่ใช่เหรอ?
เนื่องจากอาของเธออยู่ในวงการบันเทิง เธอจึงใช้ทักษะในการทำงานเป็นสไตล์ลิสต์ของสถานีโทรทัศน์ได้
หากลงทะเบียนเรียนอบรมและได้รับใบประกาศนียบัตรหลังเรียนจบหลักสูตร จากนั้นหาทางเข้าทำงานในสถานีโทรทัศน์หรือทำงานในกองถ่ายละครเพื่อแต่งหน้าทำผมให้นักแสดง เมื่อถึงตอนนั้นหล่อนก็จะมีโอกาสได้เข้าถึงคนในวงการบันเทิง
เซี่ยหลานเคยบอกว่ามันสายเกินไปสำหรับหล่อนที่จะเรียนรู้ในวัยนี้ เสิ่นอวี้อิ๋งจึงนึกถึงตนเองที่อายุมากกว่ายี่สิบปีแล้วไปสมัครเรียนเต้นรำ ถึงตอนนั้นร่างกายของหล่อนคงแข็งทื่อจนไม่สามารถฝึกฝนได้
มันคงเป็นการดีกว่าที่หล่อนจะเรียนรู้งานฝีมือ
หล่อนอยากเรียนรู้ทักษะแบบเดียวกับหลินเซี่ย เพราะมั่นใจว่าตนเองสามารถเทียบฝีมือกับผู้หญิงคนนั้นได้
ตราบใดที่สามารถเข้าสู่วงการบันเทิงและมีเส้นสาย ก็จะสามารถไต่เต้าไปได้ทีละขั้น
แต่การลงทะเบียนเรียนจะต้องใช้เงินก้อนหนึ่งและต้องใช้เวลาในการฝึกอบรมถึงหกเดือน ซึ่งค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพในระหว่างเรียนเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้การเรียนเสริมสวยและตัดผมจะต้องใช้เงินในการซื้ออุปกรณ์ ดังนั้นค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงเป็นปัญหาสำหรับหล่อน
หล่อนรู้ว่าตอนนี้เซี่ยหลานกำลังลำบาก เพราะไม่นานมานี้แม้แต่คุณภาพอาหารก็ลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้นการบีบบังคับเซี่ยหลานจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเสิ่นอวี้อิ๋งคิดไม่ตกเลยว่าตนจะหาเงินสมัครเรียนมาจากที่ไหน
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน จู่ ๆ หล่อนก็หันมองทารกที่นอนอยู่บนเตียง
เซี่ยหลานกำลังประสานงานกับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้นอีกสองสามวัน เด็กคนนี้ก็จะถูกส่งตัวไปที่นั่น
แต่ก่อนที่จะถูกส่งตัวไป หล่อนจำเป็นต้องพึ่งพาเด็กคนนี้ในการหาเงิน
ดวงตาของเสิ่นอวี้อิ๋งหรี่ลงเล็กน้อย ในที่สุดก็พบสมุดโทรศัพท์เล่มเล็กในกระเป๋า จากนั้นเปิดสมุดออกและค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ที่อยู่ข้างใน
หล่อนไม่ได้โทรเบอร์นี้นานแล้ว จึงลืมไปบ้าง
เสิ่นอวี้อิ๋งดูหมายเลขโทรศัพท์ก่อนกดโทรออก
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะป้าหลิว ฉันอวี้อิ๋งเอง” เสิ่นอวี้อิ๋งพูดพร้อมเบ้ปากเล็กน้อย
ผู้หญิงที่อยู่ปลายสายดูประหลาดใจอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋ง อีกฝ่ายก็ตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“หืม เธอมีอะไร?”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นอวี้อิ๋งมีท่าทางเย็นชาทันที
หล่อนแค่นเสียงก่อนตอบว่า “ป้าแกล้งโง่ทำไม? ป้าไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าที่ผ่านมาฉันเป็นยังไง? ฉันไม่คิดเลยว่าครอบครัวป้าจะใจดำขนาดนี้ หลานสาวลืมตาดูโลกได้เดือนกว่าแล้ว แต่กลับไม่มีใครสนใจสักนิด พวกป้าไม่อยากเห็นหน้าหลานเลยเหรอ? ก่อนหน้านี้ป้ายังขอร้องอ้อนวอนให้ฉันแต่งงานกับหลิวจื้อหมิงไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เด็กคนนั้นเกิดมาแล้ว แต่ป้าเอากลับหดหัวอยู่ในกระดอง…ป้าบอกมาว่าตอนนี้หลิวจื้อหมิงอยู่ที่ไหน?”
แม่ของหลิวจื้อหมิงเงียบไปสองสามวินาทีก่อนเสิ่นอวี้อิ๋งกลับ “ตอนนั้นเธอไม่อยากแต่งงานกับจื้อหมิงไม่ใช่เหรอ พอเด็กเกิดมาแล้วเธอกลัวเหรอ? เธอรู้ไหมว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง พ่อของเธอติดคุกแล้วเกือบลากจื้อหมิงเข้าไปพัวพัน และตอนนี้เขายังคงต้องแบกรับภาระที่พ่อของเธอทิ้งไว้ แล้วจะแต่งงานกับเธอได้ยังไง?”
แม่ของหลิวจื้อหมิงมักหาข้อแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของเสิ่นอวี้อิ๋งกำหมัดแน่น ขณะที่สายตาของหล่อนยิ่งเย็นชากว่าเดิม
หล่อนตอบว่า “ฉันได้ยินว่าตอนนี้หลิวจื้อหมิงทำงานที่ร้านซ่อมรถยนต์ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปหาเขาพร้อมอุ้มลูกไปด้วย เด็กยังไม่เคยเจอพ่อและหลิวจื้อหมิงก็ยังไม่ได้เจอลูกสาว ฉันว่าเขาจะต้องตกใจที่เห็นลูกสาวแน่นอน”
แม่หลิวตกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
หล่อนรีบห้ามทันที “อวี้อิ๋ง เธอห้ามไปเจอจื้อหมิงเด็ดขาด ถ้ามีอะไรก็คุยกับฉันตรง ๆ ดีกว่า”
มุมปากของเสิ่นอวี้อิ๋งโค้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มร้องไห้และระบายความคับข้องใจ “ป้า เราจะตกลงเรื่องนี้ยังไงดี? เด็กคนนี้ต้องดื่มนมผง แต่ฉันไม่มีเงินพอที่จะซื้อนมเลย เด็กคนนี้คือลูกหลานตระกูลหลิว ฉันจะยกเด็กคนนี้ให้ป้าเลี้ยง ไม่อย่างนั้นป้าก็ควรจ่ายค่านมผง”
“เธออยากได้เงินใช่ไหม?” แม่หลิวรู้ทันทีว่าเสิ่นอวี้อิ๋งต้องการอะไร
เมื่อเห็นปลาเริ่มกินเบ็ด เสิ่นอวี้อิ๋งก็เริ่มแสดงละครอีกครั้ง “ป้า ทำไมพูดจาน่าเกลียดยังงั้นล่ะ? ป้าหมายความว่ายังไงที่ฉันต้องการเงิน? ทำไมฉันถึงต้องการเงิน? ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เงินของป้า แต่ในเมื่อเด็กคนนี้คือหลานของป้า ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องเลี้ยงดูหล่อน ฉันเป็นแค่เด็กสาวที่อายุยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น คิดเหรอว่าการเลี้ยงเด็กมันง่าย? ฉันไม่รู้ว่าต้องเลี้ยงลูกยังไง ฉันเลยอยากยกลูกให้กับครอบครัวป้า”
หล่อนขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันโทรหาป้าเพราะอยากรักษาหน้าตาให้ทุกคน ถ้าฉันไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้น ป่านนี้ฉันคงอุ้มลูกไปที่หน้าบ้านและบังคับให้ป้ารับผิดชอบไปแล้ว”
เมื่อแม่ของหลิวจื้อหมิงได้ยินเสิ่นอวี้อิ๋งพูดอย่างนั้น หล่อนจึงรีบตอบว่า “อวี้อิ๋ง เธอพูดถูก ฉันรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่รู้ความ บอกมาว่าตอนนี้เธออยู่ไหน ฉันจะไปหาเอง”
จะปล่อยให้หล่อนอุ้มลูกมาสร้างปัญหาที่นี่ไม่ได้
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินแม่ของหลิวจื้อหมิงบอกว่าจะเป็นฝ่ายมาหา หล่อนจึงพูดว่า “บอกให้หลิวจื้อหมิงมาด้วยนะคะ”
“อืม ๆ”
เสิ่นอวี้อิ๋งบอกเวลาและสถานที่นัดพบ จากนั้นรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ก่อนจงใจเก็บเสื้อผ้าและชุดเครื่องนอนใหม่ที่เซี่ยหลานซื้อให้ไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นสวมเสื้อตัวบางและเก่าให้ลูกสาว
เซี่ยหลานบอกว่าวันนี้หล่อนต้องทำงานล่วงเวลาและจะกลับมาตอนดึก ดังนั้นเสิ่นอวี้อิ๋งจึงไม่กลัวว่าเซี่ยหลานจะมาขัดขวางแผนการ
หล่อนฮัมเพลงและแกล้งแสดงท่าทางอับอายขณะรอหลิวจื้อหมิงและแม่ของเขา
ถึงเวลาประมาณห้าโมงเย็น แม่ของหลิวจื้อหมิงก็มาถึงที่บ้านของเสิ่นอวี้อิ๋งพร้อมกับหลิวลี่ลี่ลูกสาวคนเล็ก
หลิวลี่ลี่ถือถุงนมถั่วเหลืองผงอยู่ในมือ
เสิ่นอวี้อิ๋งเปิดประตูให้ทั้งสองคน เมื่อไม่เห็นหลิวจื้อหมิง หล่อนจึงถามว่า “หลิวจื้อหมิงอยู่ที่ไหน?”
แม่ของหลิวจื้อหมิงตอบด้วยรอยยิ้ม “อวี้อิ๋ง จื้อหมิงต้องทำโอที เลยออกมาไม่ได้ ฉันกับลี่ลี่จึงมาหาเธอก่อน”
สองแม่ลูกเดินเข้าไปในบ้าน หลิวลี่ลี่ตกตะลึงเมื่อเห็นลูกสาวคนโตตระกูลเสิ่นที่เคยสวยและรวยเสน่ห์กลับหมดสภาพไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งแต่งตัวซอมซ่อ หน้าตาบวมเป่ง แตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ตนเจออย่างสิ้นเชิง
หล่อนไม่คิดว่าหลังจากอีกฝ่ายคลอดลูกสาวแล้วจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
เมื่อไม่นานมานี้หลิวลี่ลี่เพิ่งออกเดต แต่เมื่อเห็นสภาพของเสิ่นอวี้อิ๋ง หล่อนก็กลัวมากจนไม่กล้าแต่งงานและมีลูก
แม่และลูกสาวเดินเข้ามาและเห็นเด็กทารกในเปล
เด็กทั้งซูบผอมและอ่อนแอ ขณะที่สวมเสื้อผ้าตัวบาง ดูน่าสงสารอย่างมาก
พวกหล่อนได้ยินมาว่าเด็กคนนี้เป็นผู้หญิง แม่ของหลิวจื้อหมิงจึงไม่ชายตามองเด็กน้อยเลย กลับมองตรงไปที่เสิ่นอวี้อิ๋งก่อนเริ่มโน้มน้าวหล่อน
“อวี้อิ๋ง พวกเรารู้ว่าเธอต้องทุกข์ใจ แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าท้องได้ยังไง เธอจะตำหนิจื้อหมิงฝ่ายเดียวไม่ได้ พวกเธอทั้งคู่เต็มใจที่จะมีความสัมพันธ์กัน พวกเราพยายามเจรจากับตระกูลเสิ่นแล้วหลังจากที่รู้ว่าเธอท้อง แต่เธอเป็นฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานไม่ใช่เหรอ ดังนั้นจะมาโทษพวกเราที่ไม่รับผิดชอบไม่ได้”
เสิ่นอวี้อิ๋งยืนพิงกรอบประตูแล้วกอดอก จ้องแม่ของหลิวจื้อหมิงแล้วพูดว่า “ป้าหมายถึงอะไร? หลิวจื้อหมิงไม่เต็มใจรับผิดชอบฉันกับลูกงั้นเหรอ?”
แม่ของหลิวจื้อหมิงอธิบายด้วยความอับอาย “ไม่ใช่ว่าจะไม่รับผิดชอบ แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เธอรู้ไหมว่าเสิ่นเถี่ยจวินทำร้ายจื้อหมิงยังไงบ้าง? เขาให้พนักงานในโรงงานวางยาพิษพ่อของตัวเองและใส่ร้ายแม่ของหลินเซี่ย ตอนนี้ตำรวจรู้เรื่องพวกนี้แล้ว สุดท้ายจื้อหมิงก็ต้องรับผิดชอบและถูกจับ เธอน่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว
ตอนนี้จื้อหมิงยังคงมีประวัติอาชญากรรมอยู่ เขามักจะแอบมาที่โรงงานเครื่องจักรเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แล้วเขาจะกล้าแต่งงานกับเธอเหรอ? ถ้าเขาแต่งงานกับเธอ ตำรวจก็จะคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับเสิ่นเถี่ยนจวิน หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องควบคุมตัวจื้อหมิงไปสอบสวน เมื่อถึงตอนนั้นชีวิตคู่ของพวกเธอสองคนจะมั่นคงเหรอ?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกคุณก็เอาเด็กไปซะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งรู้ทันทีว่าครอบครัวหลิวจื้อหมิงไม่สนใจเด็กคนนี้ แม่ของหลิวจื้อหมิงไม่เคยถามเกี่ยวกับเด็กเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้าน และไม่แม้แต่ชายตามองด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งพูดอย่างนั้น แม่ของหลิวจื้อหมิงก็เริ่มวิตกกังวล …………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขู่กรรโชกทรัพย์แบบนี้เลยเหรอยัยอวี้อิ๋ง ตระกูลหลิวจะมีให้เธอสักเท่าไหร่เชียว
ไหหม่า(海馬)
……………………………………