ถึงเทศกาลบ๊ะจ่างแล้ว
นายหญิงตระกูลติงส่งคนมาเชิญคุณหนูติงไปร่วมฉลองเทศกาลที่เรือนเก่า
แต่คุณหนูติงปฏิเสธ โดยบอกกับคนที่มาเชิญว่า “อากาศร้อนจนข้ารู้สึกเวียนหัวและไม่สบาย ตัวข้าเองก็อ่อนระโหยโรยแรง ไม่ไปรบกวนพวกท่านย่าจะดีกว่า”
เมื่อผู้มาเชิญได้ยินดังนั้นก็ไม่มีทางเลือกต้องทิ้งตะกร้าที่เต็มไปด้วยขนมบ๊ะจ่างซึ่งห่ออย่างประณีตด้วยด้ายหลากสีเอาไว้และเดินทางกลับไปแจ้งข่าว
เมื่อเห็นคนผู้นั้นจากไปแล้ว เด็กสาวที่เอนกายอยู่บนตั่งก็ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง พลางร้องเรียกไปทางห้องหนังสือ “ฉินเหนียงจื่อ พวกเราไปเดินเล่นที่ไร่กันเถอะ!”
ฉินเหยาวางหนังสือลงแล้วเดินออกมา ในเมื่อนางต้องทำหน้าที่ผู้คุ้มกันของคุณหนูติง แน่นอนว่านางต้องติดตามออกไปด้วย
เฉียวกูกูกำลังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของคุณหนู พอเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิมก็รู้ทันทีว่านางโกหกจึงส่ายหน้าอย่างจนใจ “หากพวกฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้าคงโกรธคุณหนูแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“นางจะโกรธเรื่องอะไรล่ะ หลานที่นางโปรดปรานที่สุดไม่ใช่ข้าเสียหน่อย แค่กลัวจะโดนนินทาเลยส่งคนมาเชิญข้าไปอย่างนั้น หากข้าไปจริงๆ พวกนางอาจจะไม่พอใจก็ได้ อยู่บ้านอิสระกว่าเยอะ”
คุณหนูติงบ่นไปด้วยพลางให้โต้วเอ๋อร์ปรนนิบัติช่วยนางเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางเบา เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก
ฉินเหยากลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบธนูและลูกศร เตรียมตัวออกเดินทาง
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะออกเดินทาง พ่อบ้านอวี๋ก็เดินเข้ามา เขาคารวะคุณหนูติงก่อนแล้วจึงกวักมือเรียกฉินเหยาออกมานอกห้อง เขามาหานางโดยเฉพาะ
“พ่อบ้าน มีเรื่องอะไรหรือ” ฉินเหยาถามด้วยความสงสัย
คุณหนูติงเองก็มองมาด้วยความสงสัยเช่นกัน
พ่อบ้านอวี๋มองดูท่าทีเตรียมตัวจะออกไปของพวกนางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ฉินเหนียงจื่อ สามีของเจ้าพาลูกๆ มาหาเจ้า ตอนนี้พวกเขารออยู่ใต้ต้นไม้นอกจวน เจ้าจะออกไปพบพวกเขาสักหน่อยหรือไม่”
“พวกเขามางั้นหรือ” ฉินเหยาไม่อยากเชื่อ แต่ก็แอบรู้สึกยินดีในใจเล็กน้อย
ในเมื่อเป็นเทศกาลจึงอดคิดถึงครอบครัวไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางยังนึกสงสัยอยู่ว่าพวกเขาจะฉลองเทศกาลนี้กันอย่างไร ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาหานางที่ตัวเมือง
เมื่อเห็นพ่อบ้านอวี๋พยักหน้าด้วยความมั่นใจ ฉินเหยาก็อดรู้สึกกังวลเล็กๆ ในใจไม่ได้ ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะมาเพียงเพื่อพบนาง ไม่ใช่มีเรื่องเดือดร้อนมาให้นางต้องตามแก้
พอแจ้งเรื่องเสร็จ พ่อบ้านอวี๋ก็เดินจากไป
ฉินเหยาหันไปมองคุณหนูติง อีกฝ่ายน่าจะได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านอวี๋พูดแล้ว ดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลายส่วน
ก่อนที่ฉินเหยาจะพูดอะไร คุณหนูติงก็ถามขึ้นมาก่อนว่า “คนในครอบครัวมาหาหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้าพลางเอ่ย “คุณหนู ไม่อย่างนั้นท่านไปกับพวกเฉียวกูกูก่อนก็ได้เจ้าค่ะ เรียกผู้คุ้มกันไปด้วย เดี๋ยวข้าจะตามไปทีหลัง”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” อย่างไรเสียนางก็ว่างอยู่แล้ว
นางเคยได้ยินพี่ชายบอกว่าฉินเหนียงจื่อแต่งงานใหม่กลายเป็นแม่เลี้ยงให้ผู้อื่น ดังนั้นคนที่มาหาในวันนี้น่าจะเป็นลูกเลี้ยงของนาง คุณหนูติงจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกัน
ฉินเหยารีบร้อนจะออกไปจึงไม่ได้ขัด นางเดินนำอีกฝ่ายออกไปจากเรือนแล้วก็เห็นห้าคนพ่อลูกยืนเรียงแถวกันอย่างเรียบร้อยอยู่ใต้ต้นไม้ริมทางจริงๆ
“ซื่อเหนียง!” ฉินเหยาร้องเรียกพร้อมรอยยิ้ม
ห้าคนพ่อลูกรีบหันกลับมามอง ทุกคนดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“ท่านแม่!” ซานหลางกับซื่อเหนียงวิ่งตรงเข้ามาหา ฉินเหยากอดทั้งสองไว้ในอ้อมแขนด้วยความดีใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามว่า “พวกเจ้ามาได้อย่างไร ไม่อยู่ฉลองเทศกาลที่บ้านหรือ”
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเดินตามมาอีกสองสามก้าว ต้าหลางตอบด้วยท่าทีเขินอายว่า “ซานหลางกับซื่อเหนียงอยากพบท่านมาก ท่านพ่อทนพวกเขารบเร้าไม่ไหว พอดีวันนี้มีตลาดนัดในเมือง เราเลยขึ้นเกวียนวัวของผู้ใหญ่บ้านมาด้วยกัน”
“เสียเงินไปตั้งห้าเหวิน!” เอ้อร์หลางเสริม “แต่เดิมพวกเราเดินมาก็ได้ ไม่ต้องเสียเงิน ท่านพ่อดันบอกว่ากลัวพวกเราจะเหนื่อยเลยนั่งเกวียนวัวมา”
หลิวจี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อะไรคือข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะเหนื่อย? อ้อ หากเจ้าไม่อยากขึ้นเกวียนนัก ทำไมเจ้าไม่เดินมาเล่า”
เอ้อร์หลางเถียงไม่ออก ได้แต่ทำหน้างอนแล้วจ้องพ่อของตนด้วยความหงุดหงิด
ฉินเหยามองดูอย่างขบขัน ก่อนจะวางแฝดชายหญิงในอ้อมแขนลงแล้วเงยหน้ามองไปที่ชายผู้นั้นซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เขาสวมชุดสีครามตลอดร่าง ท่าทางดูภูมิฐาน แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความประหม่า
“ข้ายังมีงานต้องทำและที่นี่ก็ลาหยุดไม่ได้ เจ้าพาพวกเขาไปเดินเที่ยวในเมืองก่อนเถอะ” ฉินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย
หลิวจี้ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย “วันเทศกาลทั้งที ไม่ให้คนกลับบ้านไปฉลองเลยหรือ”
ฉินเหยาเห็นสีหน้าของเขาจึงเลิกคิ้วถามด้วยความสนใจ “อะไรน่ะ เจ้าอยากให้ข้าไปเดินเที่ยวกับเจ้าด้วยหรือ”
“เจ้า เจ้าคิดมากไปแล้ว!” เขากลอกตาใส่นางพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
แต่จะว่าไป เขาที่เคยชินกับการถูกอัดวันละสามเวลา พอจู่ๆ ไม่มีใครมาจัดการแล้วกลับรู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไป ทำงานก็หมดแรงจูงใจไปเสียอย่างนั้น ไม่ชินเลยจริงๆ
หลิวจี้ตกใจกับความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของตนเองจนสะดุ้งไป แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่กลับตัวสั่นระริก หรือว่าเขาจะถูกฉินเหยาสตรีอำมหิตผู้นี้ทำของใส่เสียแล้ว?
ฉินเหยาลูบหัวเล็กๆ ของเด็กสี่คนเบาๆ พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย “พวกเจ้ารอข้าสักเดี๋ยวนะ เดี๋ยวข้าจะกลับไปเอาบางอย่างมาให้พวกเจ้า”
สายตาของสี่พี่น้องพลันเปล่งประกายพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
ฉินเหยากลับเข้าไปในจวนติง เมื่อไปถึงห้องพักของตนก็หยิบหนังสือภาพพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มเล็กสองเล่มที่ทำจากกระดาษใช้แล้วออกมา
หลิวจี้เบิกตากว้างทันที “เจ้าเอาหนังสือมาจากไหนน่ะ” แถมยังดูเหมือนเป็นแบบพิมพ์ ไม่ใช่หนังสือที่คัดลอกด้วยมืออย่างหยาบๆ ด้วย
ฉินเหยายักคิ้วให้เขาอย่างได้ใจ “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ แค่หนังสือเล่มเดียว ข้ามีปัญญาหามาได้อยู่แล้ว”
ฉินเหยาส่งหนังสือให้ต้าหลาง “นี่คือหนังสือภาพสอนอ่านหนังสือ เก็บรักษาไว้ให้ดี เอากลับบ้านไปด้วย พวกเจ้าสี่พี่น้องเรียนด้วยกัน หากไม่เข้าใจก็ถามพ่อของพวกเจ้านะ”
ต้าหลางเปิดดูหนังสือตามคำเร่งเร้าด้วยความอยากรู้ของน้องๆ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ด้านในเต็มไปด้วยภาพและข้อความที่ชัดเจน ทุกตัวอักษรมีภาพประกอบ เช่น ขวาน เมฆ ลม ฝนฟ้าคะนอง และยังมีสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอีกมากมาย เช่น ลูกพลับ สาลี่ และกล้วย
“ท่านน้า หนังสือเล่มนี้ราคาแพงมากสินะ” เอ้อร์หลางถามอย่างไม่มั่นใจ
ฉินเหยาพยักหน้า หลิวจี้ที่ได้ดูเนื้อหาในหนังสือก็ถึงกับตกใจ หนังสือสอนพื้นฐานดีๆ แบบนี้ ในร้านหนังสือราคาขายไม่น้อยกว่าหนึ่งตำลึง แถมยังอาจไม่ได้ใช้กระดาษคุณภาพดีเท่านี้
ฉินเหยาส่งสมุดเปล่าที่ทำจากกระดาษใช้แล้วสองเล่มให้หลิวจี้ ให้เขาเอาเล่มนี้กลับไปให้เด็กๆ ใช้ฝึกเขียนหนังสือด้วย
พูดจบก็หยิบเงินตำลึงมูลค่าสามเฉียนออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เขา “เอาไปซื้อพู่กัน หมึก และแท่นฝน เจ้าก็ลองกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง ฝึกเขียนให้มากขึ้นหน่อย”
หลิวจี้ที่พอเห็นเงินก็ตาโต เขาไม่ได้คาดคิดว่าเข้าเมืองมาครั้งนี้จะได้อะไรกลับไปมากขนาดนี้จึงรับเงินไปด้วยความยินดี ไม่รู้ว่าฟังคำสั่งของฉินเหยารู้เรื่องหรือไม่
แต่ต้าหลางและน้องๆ ทั้งสี่คนฟังเข้าใจทุกคำ
เด็กๆ ทั้งดีใจและประหลาดใจมาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่เลี้ยงถึงยอมเสียเงินมากมายขนาดนี้เพื่อซื้อพู่กัน หมึก และกระดาษให้พวกเขา
ลูกของคนยากจนไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าตัวเองจะได้เรียนหนังสือ การที่พวกเขาอ่านออกเขียนได้มากเท่านี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีเกินพอแล้ว มากกว่านี้พวกเขาไม่กล้าคิดถึง
แต่วันนี้ดูจากท่าทางของแม่เลี้ยง ดูเหมือนนางตั้งใจที่จะให้พวกเขาได้เรียนหนังสืออย่างจริงจัง
เอ้อร์หลางที่ไวต่อเรื่องเงินเป็นพิเศษ ลองนับนิ้วคิดคำนวณอยู่สักพัก แต่ก็คำนวณออกมาไม่ได้ เขาได้แต่คิดว่าหากพวกเขาทุกคนต้องเรียนหนังสือ เขียนอักษร คงต้องใช้เงินเยอะมากแน่ๆ
MANGA DISCUSSION