เมื่อซุ่นจื่อติดตามฉินเหยาก็ได้กินซาลาเปาไส้เนื้อไปห้ามื้อติดกัน แต่ในขณะที่กำลังติดใจอยู่นั้น งานตัดไม้ก็สิ้นสุดลง
เพราะการแข่งขันภายในที่ฉินเหยานำมา งานที่ควรใช้เวลาครึ่งเดือนถึงจะเสร็จ พวกเขากลับทำเสร็จภายในเจ็ดวัน
วันนี้ตอนกำลังเลิกงาน จู่ๆ ก็ได้ยินติงอู่เอ่ยว่า “ไม้ที่ตัดมาครั้งนี้เพียงพอแล้ว สักครู่ทุกคนเอาเครื่องมือไปเก็บที่โรงเก็บเครื่องมือแล้วตามไปที่ห้องบัญชีเพื่อรับค่าแรงจากพ่อบ้านเถอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว”
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ ก่อนถือเครื่องมือลงจากเขาไปหาพ่อบ้านเพื่อรับค่าแรง
เพราะพวกเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ ค่าแรงจึงเพิ่มขึ้นเป็นวันละสิบสองเหวิน เจ็ดวันรวมเป็นแปดสิบสี่เหวิน
ไม่มีใครถูกหักเงินเลย อันดับหนึ่งถึงสามยังได้เงินเพิ่มรวมแล้วเป็นหนึ่งร้อยเหวิน เงินถูกร้อยไว้ในเชือกป่าน เวลาเขย่าจะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหู
ซุ่นจื่อดีใจมาก แม้จะไม่ได้ถึงหนึ่งร้อยเหวิน แต่แปดสิบสี่เหวินก็มากกว่าที่คาดไว้สิบกว่าเหวิน
ทุกคนเดินทางมาทำงานจากหมู่บ้านต่างๆ ทางกลับบ้านค่อนข้างไกล เมื่อรับค่าแรงแล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน
ฉินเหยาและแม่ครัวหยิบซาลาเปาไส้เนื้อที่เหลือสี่ลูกพลางเรียกซุ่นจื่อ วันนี้ทั้งสองคนเตรียมเดินกลับบ้านด้วยกัน
เนื่องจากพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานอีก ฉินเหยาจึงไม่อยากเร่งรีบกลับบ้าน
อีกสักครู่ นางตั้งใจจะไปดูที่ตัวเมืองว่ามีร้านค้าไหนเปิดบ้าง หากยังมีเนื้อขายก็คงดีมาก
“ฉินเหนียงจื่อ!”
จู่ๆ พ่อบ้านก็วิ่งตามออกมา
ฉินเหยาและซุ่นจื่อหันกลับไปมองด้วยความสงสัย พ่อบ้านส่งยิ้มให้นางก่อนพูดว่า “ฉินเหนียงจื่อ ขอคุยด้วยสักครู่ได้หรือไม่”
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ซุ่นจื่อรู้ตัวจึงถอยออกไปที่หน้าประตูแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ ข้าไปรอท่านข้างนอกนะ”
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วเดินตามพ่อบ้านกลับเข้าไปในลานบ้านพลางมองเขาด้วยความสงสัย
ไม่มีใครให้ผลประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล แท้จริงแล้วอาหารเช้าที่แม่ครัวเตรียมให้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกินมาตรฐานไปมาก ฉินเหยารู้ดี เพียงแต่ฝ่ายนั้นไม่พูดตรงๆ นางจึงแกล้งโง่
พ่อบ้านอดทนมาจนถึงตอนนี้กว่าจะเรียกนางมาคุย ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่
พ่อบ้านอวี๋มีท่าทางลังเล เหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี
ฉินเหยาเริ่มรำคาญขึ้นมาแล้ว “พ่อบ้าน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าต้องรีบกลับบ้าน เดินทางกลางคืนมันอันตราย”
พ่อบ้านจึงพูดขึ้นว่า “ฉินเหนียงจื่อ พอจะมีเวลาว่างหลังจากนี้หรือไม่”
“ยังมีงานอะไรให้ทำอีกหรือ” ฉินเหยาถาม
พ่อบ้านยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่านและคุณชายน้อยของเรามีแผนจะเดินทางไกลในอีกไม่กี่วัน แต่พวกเขาเป็นห่วงคุณหนูของเราจึงอยากถามว่าฉินเหนียงจื่อพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ งานนี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน เพียงมาอยู่ที่จวนเป็นเพื่อนคุณหนูเท่านั้นก็พอ”
เขารีบเสริมต่อ “ค่าแรงคุยกันได้ หากฉินเหนียงจื่อไม่สะดวก จวนเรามีห้องพักให้พักอาศัย อาหารการกินทางครัวจะดูแลให้ ตอนนี้แม่ครัวรู้ปริมาณความอยากอาหารของเจ้าแล้ว รับรองว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหิวแน่นอน เจ้าลองพิจารณาดูว่าพอจะมีเวลาหรือไม่”
ฉินเหยาพูดว่า “พวกท่านต้องการให้ข้ามาเป็นผู้คุ้มกันชั่วคราวของคุณหนูใช่หรือไม่”
พ่อบ้านพยักหน้าอย่างยินดี “ใช่แล้ว”
ฉินเหยาถามต่อ “รวมที่พักและอาหาร ระยะเวลาหนึ่งเดือนใช่ไหม”
พ่อบ้านเห็นว่านางดูสนใจจึงพยักหน้าไม่หยุด “ใช่ๆๆ!”
“แล้วค่าแรงคิดอย่างไร”
ไม่นึกว่านางจะถามเรื่องค่าแรงเร็วขนาดนี้ พ่อบ้านเริ่มเห็นความหวังจึงลองยื่นข้อเสนอ “สองตำลึงเป็นอย่างไร”
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย นี่ดูเหมือนยังมีช่องให้ต่อรองราคาได้อีก
ไม่นึกว่าค่าแรงของการเป็นผู้คุ้มกันจะสูงขนาดนี้ หากรู้แบบนี้ นางคงไม่ไปตัดไม้ให้เหนื่อยแล้ว ตรงไปสมัครเป็นผู้คุ้มกันในเมืองตั้งแต่แรกคงจะดีกว่า!
แต่ก็แค่คิดในใจเท่านั้น เพราะเหล่าขุนนางและเศรษฐีในเมืองต่างก็มีผู้คุ้มกันประจำอยู่แล้ว แทบจะไม่มีการจ้างคนนอก
สำหรับตระกูลคหบดีติงเอง เกรงว่าก็คงไม่ได้ขาดแคลนผู้คุ้มกันจริงๆ เพียงแค่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้บุตรสาวอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น
จากการสังเกตในช่วงหลายวันนี้ ตระกูลติงไม่มีนายหญิงเหลือเพียงนายท่านติง และเมื่อผู้ใหญ่ต้องเดินทางกันหมดก็จะเหลือแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนเดียวซึ่งน่าเป็นห่วงมาก
ที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเครือญาติสกุลติงราวสามลี้ เว้นแต่ว่าจะส่งคุณหนูติงไปให้ญาติดูแล หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ เครือญาติก็ไม่มีทางมาถึงได้ทันเวลา
แต่เห็นได้ชัดว่า คุณหนูติงไม่ต้องการไปอยู่กับญาติ
ฉินเหยามองพ่อบ้านหนึ่งครั้ง พ่อบ้านเองก็มองนางเช่นกัน สายตาของทั้งสองประสานกัน พ่อบ้านยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินเหยาจึงถามเขาว่า “พ่อบ้านอวี๋ หลังจากที่สำนักศึกษาสกุลติงสร้างเสร็จ จะรับเฉพาะเด็กตระกูลติงหรือ”
“ฉินเหนียงจื่อกำลังคิดอยากจะส่งลูกๆ ของเจ้ามาเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลติงใช่หรือไม่” พ่อบ้านหยั่งเชิง
ฉินเหยารับคำเบาๆ พ่อบ้านแนะนำว่านางอาจลองขอให้นายท่านติงช่วยถามดู หากเป็นเพียงเด็กต่างสกุลแค่หนึ่งหรือสองคนก็ยังพอมีความหวัง
แต่เขาก็ไม่กล้ารับปาก “ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้าตระกูล อีกทั้งสำนักศึกษาตระกูลติงกว่าจะสร้างเสร็จเร็วที่สุดก็ปลายปี ยังอีกนานเลย”
ไม้เพิ่งถูกตัดลงมา ต้องตากให้แห้งอย่างน้อยครึ่งปี จากนั้นยังต้องนำไม้มาทำเป็นไม้แปรรูปสำหรับใช้งาน เวลาก่อสร้างจึงเร่งไม่ได้
ฉินเหยารู้ว่าพ่อบ้านพูดเช่นนี้ก็ถือว่าให้เกียรตินางมากแล้ว แต่นางก็ยังถามต่อว่า “หากเป็นเด็กผู้หญิงล่ะ ได้หรือไม่”
พ่อบ้านตกใจมาก รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้ๆ เด็กผู้หญิงจะเข้าสำนักศึกษาได้อย่างไร ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน!”
ฉินเหยาเองก็ถามไปอย่างนั้น แม้รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทาง แต่ในใจก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
นางไม่รู้ว่าสถานที่อื่นเป็นอย่างไร แต่สำหรับจังหวัดจื่อจิง แน่นอนว่าไม่มีเด็กหญิงเข้าสำนักศึกษา หากบุตรสาวอยากเรียนหนังสือก็ทำได้เพียงว่าจ้างครูมาสอนที่บ้าน และครอบครัวที่สามารถจ้างครูมาสอนบุตรสาวได้นั้นมีอยู่น้อยมาก
คุณหนูของตระกูลคหบดีติงสามารถเรียนหนังสือได้เพราะบิดาของนางเป็นคนสอนเอง
สำหรับคุณหนูในครอบครัวร่ำรวยคนอื่นๆ เด็กหญิงที่อ่านออกเขียนได้มีอยู่ไม่มาก หากบิดามารดารักและเอาใจใส่พวกนางมากจริงๆ ก็จะสอนให้พวกนางคิดบัญชีและดีดลูกคิด เพื่อวันหน้าจะได้ช่วยสามีดูแลกิจการในครอบครัวหลังแต่งงานไปแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงบุตรสาวของชาวบ้านธรรมดาเลย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะกลับไปเตรียมตัวสักสองสามวันแล้วจะกลับมา” ฉินเหยากล่าว
คำพูดนี้แสดงว่านางตกลงแล้ว
พ่อบ้านยินดีมาก ขณะส่งฉินเหยาออกจากจวน เขาย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามเกินห้าวัน และในวันที่ห้าจะต้องกลับมา
ฉินเหยารับปาก ก่อนเรียกซุ่นจื่อให้ไปด้วยกัน ทั้งสองเดินไปในตัวเมืองก่อน แต่น่าเสียดายที่ร้านค้าในเมืองปิดหมดแล้ว เหลือเพียงบ้านชาวไร่แห่งหนึ่งที่ขายถั่วปากอ้าคั่วเองสองห่อ
ถั่วปากอ้าขายห่อละสองเหวิน ห่อด้วยใบตอง ขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ ถั่วปากอ้าแต่ละเม็ดคั่วจนเปลือกแตกและซึมซับเกลือเข้าไปด้านใน ดูแล้วน่าอร่อยมาก
ฉินเหยาเก็บหนึ่งห่อใส่กระเป๋าผ้าของนาง อีกห่อหนึ่งถือไว้ในมือ เดินกินไปพร้อมกับซุ่นจื่อระหว่างทางกลับบ้าน
ซุ่นจื่อมักเห็นแต่ผู้ใหญ่ซื้อขนมกลับบ้านให้เด็กๆ แต่คนอย่างฉินเหยาที่ซื้อขนมสองห่อแบ่งให้ครอบครัวหนึ่งห่อและตัวเองอีกหนึ่งห่อเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
แต่เมื่อฉินเหยาส่งถั่วปากอ้าให้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมาหนึ่งกำมือ
พอกินเข้าไปถึงได้เข้าใจว่าทำไมเด็กๆ ถึงชอบกินของพวกนี้นัก มันช่วยให้หายอยากได้จริงๆ ทั้งหอมและกรอบ กินแล้วอารมณ์ดีขึ้นทันที
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหอ พระอาทิตย์ก็เหลือเพียงครึ่งดวงลอยเด่นอยู่บนยอดเขา
ฉินเหยาคิดว่าโอ่งข้าวที่บ้านคงใกล้จะเกลี้ยงแล้ว นางจึงซื้อข้าวสารอย่างดีสิบห้าจินจากบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านเซี่ยเหอ ใช้ค่าแรงหนึ่งร้อยอีแปะที่เพิ่งได้รับมาวันนี้จนหมดเกลี้ยง
หลิวจี้ที่รอคอยให้ฉินเหยานำค่าแรงกลับบ้านมา เมื่อเห็นถุงข้าวสารอย่างดีถุงนั้น เขาก็แทบสำลักความเจ็บใจจนตาย!
MANGA DISCUSSION