ฉินเหยาล้างมือและเช็ดหน้าจนสะอาดแล้วถึงเข้ามานั่งในบ้าน
เห็นบนโต๊ะอาหารมีจานหมูสามชั้นผัดน้ำมันจนมันวาวพร้อมข้าวสวยที่มีข้าวไหม้ติดหม้อ ฉินเหยาก็เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร
นางหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา “กินข้าวเถอะ”
ทันทีที่ฉินเหยาบอกให้เริ่มกินได้ ตะเกียบของหลิวจี้กับเด็กๆ ก็พุ่งไปที่จานเนื้อทันที
หลิวจี้เอาเนื้อทั้งหมดมาผัด หมูถึงสี่จิน ไม่มีผักใดๆ ปรุงด้วย ดูแล้วช่างมันเยิ้มนัก
ฉินเหยาลองกินไปชิ้นหนึ่งโดยไม่ได้คาดหวังอะไรกลับต้องตาเป็นประกาย รสชาติดีเกินคาด!
หลังจากเอาชีวิตรอดในวันสิ้นโลกมานานสิบกว่าปี อาหารประจำวันหากไม่เป็นธัญพืชแห้งก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉินเหยาจึงไม่เรื่องมาก ขอแค่มีรสชาติ นางก็พอใจมากแล้ว
เนื้อหนึ่งชิ้นกับข้าวสองคำใหญ่ ไม่รู้สึกมันเลี่ยนแม้แต่น้อย แถมข้าวไหม้ยังกรอบอร่อบมากอีกด้วย
ฉินเหยากินรวดเดียวถึงห้าชาม ก่อนจะวางชามและตะเกียบลงพร้อมเช็ดมุมปากอย่างพอใจแล้วพูดกับหลิวจี้ว่า
“โภชนาการต้องสมดุล ครั้งหน้าทำผักมาด้วย”
เมื่อเห็นว่าผ่านด่านนี้ได้แล้ว หลิวจี้ก็รู้สึกโล่งอก รีบตอบตกลงทันที
ข้าวที่หุงเป็นข้าวขาว เด็กทั้งสี่กินได้แค่คนละครึ่งชามก็อิ่มแล้ว
หลิวจี้กินได้มากกว่าเล็กน้อย หนึ่งชามครึ่ง แต่ก็อิ่มจนไม่ไหวเช่นกัน
แต่พอมองดูปริมาณที่ฉินเหยากินก็พบว่ามากกว่าทั้งหมดรวมกันถึงสี่เท่า พ่อกับลูกทั้งห้าคนตกตะลึง
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเองก็เพิ่งรู้ว่า แท้จริงแล้วแม่เลี้ยงพยายามควบคุมปริมาณการกินของตัวเองมาโดยตลอด
ตอนนี้ที่บ้านมีอาหารเพียงพอ นางจึงไม่ต้องอดทนอีกต่อไป กินอย่างเต็มที่ เพราะอย่างไรตอนกลางวันก็ทำงานใช้แรงไปมาก ยิ่งกินมากการเผาผลาญก็ยิ่งมากตามไปด้วย
หลังมื้ออาหาร ฉินเหยาพยักเพยิดไปทางหลิวจี้ที่ไม่มีทีท่าจะรู้ตัวสักนิด สั่งให้เขาเก็บโต๊ะอาหารแล้วสั่งต่อว่า “ต้มน้ำร้อนเพิ่มด้วย ข้าจะล้างเท้า”
หลิวจี้เบิกตากว้าง นี่เขาต้องคอยปรนนิบัตินางถึงขั้นล้างเท้าเลยหรือ
ฉินเหยาพึ่งกินอิ่ม อารมณ์ค่อนข้างดีจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ต้มน้ำยังทำไม่เป็นหรือ”
หลิวจี้โกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ลุกขึ้นเก็บชาม ก่อนจะไปต้มน้ำอย่างไม่เต็มใจ
ต้าหลางอาสาช่วย เพราะกลัวว่าบิดาของเขาจะต้มน้ำไม่เป็นจริงๆ
ก่อนออกไป ต้าหลางเอาเงินยี่สิบห้าเหวินที่ได้จากการขายรองเท้าฟางส่งให้ฉินเหยา
เอ้อร์หลางถามฉินเหยาว่า ช่วยสอนเขากับหลิวจินเป่าจับปลาได้ไหม
ปลาในแม่น้ำนั้นว่องไวยิ่งกว่ากระต่ายบนบกเสียอีก พวกเขาทำได้เพียงมองเงาปลา พอพยายามจับก็จับไม่เคยได้เลย
วันนี้หลิวจินเป่าเห็นกับตาว่าฉินเหยาจับปลาหลายตัวจากแม่น้ำช่วงหยุดพักจากการหาบหิน เด็กน้อยจึงน้ำลายสอ อยากจับปลาบ้าง
แต่น่าเสียดายที่พอพวกเขาเข้าไปใกล้ ปลาเหล่านั้นก็ว่ายน้ำหนี แม้ช่วงฤดูน้ำแห้งแม่น้ำจะตื้น แต่ก็ยังจับปลาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี
แต่หลิวจินเป่ากลัวฉินเหยาไม่กล้ามาพูดเองจึงให้เอ้อร์หลางช่วยลองถามดู
“พวกเจ้าอยากจะจับไว้กินใช่ไหม” ฉินเหยาถาม
เอ้อร์หลางพยักหน้าแรงๆ
ฉินเหยาตอบตกลง “พรุ่งนี้ตอนว่างข้าจะสอนพวกเจ้า”
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ สอนจับปลาน่ะได้ แต่ห้ามลงแม่น้ำไปจับเองโดยไม่มีผู้ใหญ่ หากไม่ตกลง ข้าก็จะไม่สอน”
ตอนนี้เป็นช่วงน้ำแห้ง ปริมาณน้ำน้อยจนไม่มีอันตรายและยังมีคนอยู่ริมแม่น้ำตลอด
แต่หากเป็นฤดูน้ำหลากในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนก็จะอันตรายมาก
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผู้คนที่นี่เชื่อเรื่องผีสาง ฉินเหยาจึงเอ่ยเสริมว่า “ต้องสาบานต่อฟ้า ไม่ใช่แค่พูดรับปากกันลอยๆ”
เอ้อร์หลางที่เดิมทีไม่ได้คิดอะไรจริงจัง ตอนนี้เห็นฉินเหยาพูดถึงเรื่องการสาบานต่อฟ้าก็เพิ่งตระหนักได้ว่านางจริงจังมาก
เขารีบตอบ “ได้ ข้าจะไปบอกพี่จินเป่า”
น้ำร้อนต้มน้ำเสร็จแล้ว หลิวจี้ตะโกนเรียกจากในครัว
ฉินเหยาลุกขึ้น เรียกเด็กทั้งสามคนที่อยู่ใกล้ๆ ไปที่ครัวเพื่อไปล้างหน้าล้างเท้า
ในบ้านมีอ่างอยู่สองใบ ฉินเหยาย่อมใช้ใบหนึ่ง
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางคอยดูแลน้องๆ ฉินเหยาช่วยตักน้ำร้อนให้พวกเขา ส่วนที่เหลือพี่น้องทั้งสี่คนก็จัดการกันเอง
หลิวจี้มองลูกๆ ทั้งสี่คนของเขาเข้าแถวล้างหน้าล้างเท้าก็ราวกับมองเห็นอะไรที่แปลกประหลาด อดจุปากออกมาไม่ได้
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่ง เห็นผมยาวยุ่งเหยิงของเขาจึงแนะนำอย่างจริงจังว่า “เจ้าควรสระผมนะ”
วันนี้ยังไม่ถือว่าหนาว แต่หากช้ากว่านี้ ผมยาวเช่นนี้หากไม่มีไดร์เป่าผมให้แห้งทันทีจะเป็นหวัดได้ง่าย
ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะเสียดายเงินต่างหาก
ฉินเหยาลูบผมยาวของตนเองที่เกล้าเอาไว้ เส้นผมแห้งกรอบชี้ฟู สภาพเส้นผมไม่ดี คิดว่าตัดทิ้งแล้วไว้ใหม่จะดีกว่า
คิดแล้วก็ลงมือทันที ใช้ผ้าขี้ริ้วที่ทำจากเสื้อผ้าเก่ามาเช็ดเท้าให้แห้ง เทน้ำในอ่างทิ้ง วางอ่างไว้ใต้ชายคา แล้วลุกเข้าไปในห้องข้าง ค้นกองของจิปาถะที่ซื้อเอาไว้แล้วหยิบกรรไกรออกมา
ตัดฉับๆ สองสามครั้งอย่างไม่ลังเลก็ตัดเอาเส้นผมแห้งเสียที่ยาวจนถึงน่องออกจนหมด เหลือความยาวเลยบ่าไปเล็กน้อยเท่านั้น
ผมยาวที่ตัดทิ้งถูกโยนลงไปในเตา ถูกไฟเผาจนหมด!
เปลวไฟลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างแรง บิดากับบุตรทั้งห้าคนตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว มองเส้นผมยาวประบ่าของฉินเหยาแล้วรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ล้วนกล่าวกันว่า ร่างกาย เส้นผม ผิวพรรณล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมาจากบิดามารดา หากลูกหลานทำลายมันลงง่ายๆ จะถือเป็นการอกตัญญูอย่างยิ่ง!
นางไม่เพียงตัดผมตนเอง ยังโบกมือเรียกพวกเขาให้มาร่วม ‘กระทำเรื่องชั่วร้าย’ นี้ไปด้วยกันอีก
ฉินเหยาถามอย่างสงสัย “พวกเจ้าไม่อยากตัดหรือ”
บิดาและบุตรทั้งห้าคนมองนางด้วยความตกใจ เจ้าคิดว่าพวกข้าอยากหรือ
ฉินเหยายักไหล่ “ตามใจพวกเจ้าแล้วกัน”
อย่างไรตอนนี้นางก็รู้สึกสบายตัวแล้ว
เวลาล่วงเลยมาไม่น้อย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการใช้แรงงานทั้งวัน แม้ฉินเหยาจะแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า แต่ก็ยังเหน็ดเหนื่อย นางยิ้มให้พวกต้าหลางเล็กน้อย “ราตรีสวัสดิ์”
นางหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง หลับตาลงแล้วหลับไปในทันที
หลิวจี้รีบต้มหม้อน้ำใหม่ทันที ล้างเส้นผมของตนเองเสียจนสะอาดหมดจด
ราวกับว่าหากทำแบบนี้แล้ว ฉินเหยาจะไม่รังเกียจเรื่องเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจนลงมือกับเขา
ยาที่ได้มาจากท่านหมอยังเหลืออยู่อีกสองชุด หลังจากสระผมเสร็จ หลิวจี้ใช้ความร้อนจากไฟในเตาอบเส้นผมให้แห้งไปพลาง อาศัยความรู้สึกทายาบนใบหน้าตนเองไปพลาง
ต้าหลางกล่อมน้องๆ เข้านอนเรียบร้อยแล้ว เขาเดินออกมาจากห้องข้างอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าหลิวจี้แล้วถามด้วยความสงสัยว่า
“ท่านพ่อ เหตุใดพวกเขาถึงตีแต่ใบหน้าท่านเล่า”
“…… เรื่องนี้เล่าแล้วยาว เอาไว้คราวหน้าพ่อจะเล่าให้ฟัง” หลิวจี้ลังเลเล็กน้อย ไม่อยากพูดถึง
ต้าหลางทำได้เพียงรับคำเบาๆ ช่วยเขาทายาสมุนไพรจนทั่ว ปลอบโยนจิตวิญญาณที่ได้รับการกระทบกระเทือนของเขาจนดีขึ้นหลายส่วน
พ่อลูกทั้งสองคนล้างมือจนสะอาดแล้วแยกย้ายกลับห้องไปนอน
พอนึกว่าต้องตื่นเช้ามาทำอาหารเช้าให้ฉินเหยา หลิวจี้ก็นอนพลิกไปมา นอนไม่หลับแม้แต่น้อย
เขากลัวว่าจะตื่นไม่ไหวและกลัวว่าหากตื่นขึ้นมาจริงๆ หลังจากนี้ตนจะกลายเป็นพ่อบ้านเต็มตัว ไม่มีศักดิ์ศรีหลงเหลืออีก
แต่หากจากไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้ เงินสามร้อยเหวินในมือก็คงทนได้ไม่นาน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ที่บ้านมีข้าวขาวและเนื้อกินทุกมื้อ ชีวิตแบบนี้เขาเองก็แอบเสียดาย
หากทุกมื้อมีอาหารระดับนี้ เช่นนั้นการยอมฝืนใจอยู่บ้านทำกับข้าวก็ใช่ว่าจะไม่ได้
อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าต้องลงไปทำงานหนักในไร่นามากนัก!
สำหรับหลิวจี้แล้ว มาตรฐานศีลธรรมก็คือไม่มีศีลธรรม เขาจึงตัดสินใจลดมาตรฐานของตนเองลงอย่างเด็ดขาด
เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย หลับตาแล้วผล็อยหลับไป
คนที่ปกติต้องนอนจนแสงแดดส่องมาถึงปลายเตียงเช่นเขา ครั้งนี้ด้วยแรงกระตุ้นของสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ตอนที่ไก่ขันรอบที่ห้าเขาก็ตื่นขึ้นแล้ว
สตรีอำมหิตผู้นั้นบอกว่าเช้าๆ อยากกินอะไรที่นิ่มหน่อย ในบ้านมีแป้ง หลิวจี้เลยตัดสินใจนึ่งหมั่นโถว
MANGA DISCUSSION