ตอนที่ 285 น้ำขิง
ก่อนฟ้ามืด ฉินเหยาก็นับยอดเสร็จสิ้น
รวมทั้งหมดสิบสองครอบครัว รวบรวมข้าวสารให้ฉินเหยาได้ห้าร้อยสามสิบจิน ส่วนใหญ่เป็นข้าวหยาบ ส่วนน้อยเป็นข้าวสารชั้นกลาง
ฉินเหยาถือสมุดบันทึกที่จดไว้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน ตรวจสอบกับยายหวังและคนอื่นๆ อีกครั้ง เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด นางก็เขียนใบมอบฉันทะรวมขึ้นมาฉบับหนึ่ง นำตลับชาดประทับตราออกมาให้ทุกคนกดลายนิ้วมือลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนมาสร้างความเดือดร้อนให้นางในภายหลัง
การกระทำของฉินเหยานับว่าสมเหตุสมผล พวกชาวบ้านต่างแสดงความเข้าใจ ทั้งยังเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของนางอย่างยิ่ง ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเนื้อความบนใบมอบฉันทะนั้นก็เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อกดลายนิ้วมือ
ฉินเหยาเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็อดที่จะเอ่ยล้อเล่นประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “ไม่กลัวหรือว่าในกระดาษแผ่นนี้ข้าจะเขียนว่าพวกท่านติดหนี้ข้าอยู่น่ะ”
ท่านยายหวังและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงไปพร้อมกัน ชาวบ้านที่กำลังประทับลายนิ้วมือต่างก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง นิ้วมือลังเลค้างอยู่กลางอากาศ
“…”
“แค่กๆ!” ฉินเหยากระแอมสองครั้งอย่างไม่สบายใจ ทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้นลง นางดึงชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาอย่างจริงจัง ชูใบมอบฉันทะขึ้นแล้วอ่านตัวอักษรบนนั้นให้พวกเขาฟังทีละตัว
เมื่ออ่านจบก็ตบไหล่ชาวบ้านผู้นั้นเบาๆ “พวกท่านจำได้หรือไม่ คราวหน้าหากมีคนให้พวกท่านพิมพ์ลายนิ้วมือหรือลงชื่อก็ให้เขาอ่านให้พวกท่านฟังก่อนหนึ่งรอบ หากจำนวนคำไม่ตรง หรือการแบ่งวรรคตอนมีปัญหา ในใจพวกท่านก็ต้องระแวดระวังไว้”
พวกชาวบ้านถึงได้เข้าใจ ที่แท้ฉินเหนียงจื่อกำลังสอนพวกเขาให้รู้จักแยกแยะคนหลอกลวงนี่เอง!
แต่ละคนพยักหน้าอย่างแรง แสดงออกว่าจำได้แล้ว นึกซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ฉินเหยายังคงแย้มยิ้ม มองส่งพวกเขาจากไปแล้วหันหลังกลับ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ดูท่าต่อไปคงจะล้อเล่นกับพวกชาวบ้านตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว พวกเขาเชื่อคนง่ายเกินไป
อาวั่งเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนที่เคยเป็นพ่อครัวในโรงเตี๊ยมใหญ่นี่ช่างแตกต่างจริงๆ แม้แต่อาหารง่ายๆ ก็ยังทำได้อร่อยเลิศล้ำ
ฉินเหยาสั่งให้อาวั่งยกชามหนึ่งเข้าไปให้หลิวจี้ในห้อง รอจนอาวั่งออกมาจึงเริ่มกินอาหารทันที
พวกต้าหลางสี่พี่น้องแทบจะฝังศีรษะลงไปในชามข้าว แต่ละคนกินข้าวเพิ่มไปอีกครึ่งชาม
โชคดีที่วันนี้อาวั่งหุงข้าวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทางหลิวจี้ก็ไม่ค่อยเจริญอาหาร กินไปเพียงครึ่งชาม มิฉะนั้นคงไม่พอให้สี่พี่น้องนี้กิน
ว่ากันว่าลูกชายวัยกำลังโตนั้นกินจุจนพ่ออดตาย เมื่อเห็นต้าหลางและเอ้อร์หลางสองคนกินจุเทียบเท่าชายฉกรรจ์ ฉินเหยาก็แอบคำนวณข้าวในโอ่งข้าวของบ้านตนเอง สั่งอาวั่งว่าตอนขนข้าวขึ้นรถพรุ่งนี้เช้าให้เหลือข้าวสาลีไว้สามร้อยจิน อย่าขนไปจนหมด
ตอนนี้ราคาข้าวสูง คนงานที่โรงงานเครื่องเขียนก็บริโภคมากเหลือเกิน โชคดีที่ฉินเหยาและช่างไม้หลิวได้กักตุนข้าวสารไว้ให้โรงงานแต่เนิ่นๆ ตอนนี้พอเฉลี่ยกับข้าวราคาสูงแล้วจึงยังสามารถควบคุมต้นทุนไว้ได้
เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ คนงานที่มาใหม่หากเลือกกินข้าวที่โรงงาน ก็จะได้รับค่าจ้างเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
ส่วนที่เหลืออีกสองในสามไม่ใช่ว่าจะไม่ให้ แต่จะรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาพิเศษนี้ไปก่อนค่อยให้ เพื่อเก็บเงินทุนไว้ให้โรงงานมากขึ้น ป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ดังนั้น เพียงแค่เงื่อนไขที่โรงงานเครื่องเขียนเลี้ยงข้าวสองมื้อก็ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงแย่งกันจนหัวแทบแตกเพื่อเข้ามาทำงานที่นี่แล้ว
กลับมาพูดเรื่องเดิม เด็กๆ ในบ้านกำลังเติบโต กินจุมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มอาวั่งเข้ามาอีกคน ข้าวสารที่คำนวณไว้แต่เดิมย่อมไม่พอแน่นอน
เหลือข้าวสาลีไว้เพิ่มอีกสามร้อยจินก็เพียงพอที่จะกินไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
อาวั่งพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ มองดูข้าวสวยในชามใหญ่กับน้ำแกงไข่และหมูรมควันบนโต๊ะ ที่จริงแล้วเขาอยากจะบอกฉินเหยามากว่า หากลดระดับอาหารในบ้านลงหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องเหลือข้าวสาลีสามร้อยจินนั้นไว้
แต่อาหารในปากนั้นช่างหอมอร่อยเหลือเกิน เขาไม่อาจฝืนใจเสนอความคิดเช่นนั้นออกไปได้
ที่จริงอาวั่งนั้นประหลาดใจมาก เขาคิดว่าเมื่อตนเองตามหลิวจี้กลับมายังหมู่บ้านตระกูลหลิวแล้วคงต้องกินรำกับผักป่าทุกมื้อเป็นแน่
ใครจะคิดว่า ครอบครัวฉินเหยาไม่เพียงแต่กินดีอยู่ดีเท่านั้น ยังให้เขากินดีอยู่ดีตามไปด้วย โชคดีเช่นนี้ชวนให้คนเกิดความใฝ่ฝันที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
กินอาหารเย็นเสร็จ วันนี้ถึงตาเอ้อร์หลางกับซานหลางที่เป็นเวร ไปนำหีบเงินของโรงโม่น้ำกลับมา
ไข่ไก่สองฟอง มองปราดเดียวก็รู้ว่ายายหวังกับหลานมาในวันนี้
ยังมีเหรียญเงินสามเหรียญ ถั่วเขียวครึ่งชาม
ผักต่างๆ วางไว้ในครัว ส่วนเงินก็มอบให้เอ้อร์หลางเก็บเข้าคลังสมบัติเล็กๆ ของเขา
“ท่านแม่ หลายวันนี้รายได้ลดลงกว่าแต่ก่อนสามส่วนเลยนะขอรับ” เอ้อร์หลางพลิกสมุดบัญชีเล็กๆ ของตนเองเอ่ยรายงานต่อฉินเหยา
“ไม่เป็นไร” ฉินเหยาบอกเขา “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนไม่กล้าใช้เงิน รอให้ภัยพิบัติระลอกนี้ผ่านไปก็จะดีขึ้นเอง”
เอ้อร์หลางยังคงกังวลอยู่บ้าง “แล้วถ้าหากภัยพิบัติไม่ผ่านไปเล่าขอรับ”
ฉินเหยาชี้ไปยังทิวเขาเขียวขจีและสายน้ำใสสะอาดด้านนอก “เจ้าเพียงแค่ต้องสังเกตผืนดินที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ หญ้ายังงอกงามหรือไม่ ปลาในน้ำยังแหวกว่ายอยู่หรือไม่ หากผืนดินยังคงปลูกพืชพันธุ์ได้ ในแม่น้ำยังมีปลาแหวกว่าย ความยากลำบากก็จะผ่านพ้นไปในไม่ช้า”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น บนหลังคาก็ปรากฏแสงสีเงินวาบขึ้นมา ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังตามมาติดๆ
“ฟ้าร้องแล้ว!” ซื่อเหนียงวิ่งเข้ามาในห้องอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ฝนจะตกแล้วเจ้าค่ะ~”
ฝนตกก็มีน้ำ ในแม่น้ำก็จะมีปลาแหวกว่ายแล้วภัยพิบัติก็จะผ่านพ้นไปในไม่ช้า
ฉินเหยาพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง เลื่อนเก้าอี้มาไว้ที่ประตู เด็กๆ ยืนอยู่ด้านหลังนาง ห้าแม่ลูกมองไปยังท้องฟ้าพร้อมกัน ดูสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ค่ำคืนที่มีฝนตกมาพร้อมกับเสียงธรรมชาติบำบัด ทั้งครอบครัวต่างนอนหลับสบายตลอดคืน
ตื่นเช้าขึ้นมา ฝนหยุดตกแล้ว พื้นดินยังมีน้ำขังอยู่บ้าง ฉินเหยาพาขบวนรถข้าวสารมุ่งหน้าไปยังนอกเมือง ถนนหนทางเต็มไปด้วยโคลน เดินทางลำบากอย่างยิ่ง เมื่อไปถึงก็ช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้เมื่อวานไปกว่าครึ่งชั่วยาม
พวกผู้อพยพรออยู่ด้านนอกศาลาเป็นเวลานานแล้ว พอเห็นขบวนรถข้าวสารมาถึง สีหน้าก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น
เมื่อคืนฝนตกหนัก เพิงพักชั่วคราวที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่สามารถกันแรงปะทะของสายฝนได้เลย พวกผู้อพยพเนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยโคลน ยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นโคลน ปลายผมยังมีหยดน้ำเกาะอยู่
เด็กน้อยผอมโซขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของมารดาเพื่อซึมซับความอบอุ่น สตรีผู้หนึ่งอุ้มลูกไว้ในแขนข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำลังแผ่ฟืนที่เปียกชื้นออกพลางถอนหายใจอย่างอ่อนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉินเหยายอมรับว่าตนเองไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งยังรังเกียจพวกผู้อพยพที่ละทิ้งศีลธรรมทำความชั่ว แต่เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ในขณะนี้ นางก็ยังอยากจะทำอะไรสักอย่าง
“อาวั่ง เจ้าไปที่จวนคหบดีติงถามหานายน้อยตระกูลติง บอกว่าเป็นข้าที่ให้เจ้าไป ซื้อขิงมาสิบจินแล้วขอยืมหม้อมาสักใบ ต้มน้ำขิงให้พวกเขาสักหม้อ”
อาวั่งรีบวางตาชั่งในมือลงทันที รับคำสั่งแล้ววิ่งไปยังในเมือง
ไม่นาน เขาก็แบกหม้อเหล็กใบใหญ่กลับมา ด้านหลังยังมีเด็กสาวหน้าตาหมดจดสวมชุดบุรุษตามมาด้วย ในมือนางถือถุงขิงถุงหนึ่ง พอเห็นฉินเหยาก็ยิ้มกว้างออกมา เผยให้เห็นฟันขาวเรียงสวย
“ฉินเหยา!” นางโบกมือให้ฉินเหยาอย่างตื่นเต้น
แต่คิดไม่ถึงว่า การต้อนรับอย่างอบอุ่นที่คาดหวังไว้กลับไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ตอบกลับนางมาคือใบหน้าที่เย็นชาลงของฉินเหยา “ท่านมาทำอะไรที่นี่ ผู้คุ้มกันสักคนก็ไม่พามา แอบตามออกมาใช่หรือไม่”
ฉินเหยาเหลือบมองอาวั่งอย่างไม่พอใจ
อาวั่งรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ฮูหยินไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามพาคนตระกูลติงมาด้วย
อีกทั้งคุณหนูติงผู้นี้ก็ตามมาเอง เขาเพียงรับผิดชอบดูแลครอบครัวฉินเหยาเท่านั้น ไม่ได้ไปใส่ใจว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่
ฉินเหยาถูกสายตาไร้เดียงสาของอาวั่งทำให้พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ในเมื่อคนมาถึงแล้วพูดไปก็ไร้ประโยชน์จึงสั่งให้อาวั่งรีบก่อเตาต้มน้ำขิง ส่วนตนเองก็ชั่งข้าวสารขายต่อไป
ติงเซียงถูกปล่อยให้เก้อก็รู้ว่าฉินเหยาโกรธตนเองแล้ว นางไม่กล้าเข้าไปใกล้จึงพับแขนเสื้อเดินตามหลังอาวั่งไป ช่วยทำงานที่ตนเองพอจะทำได้
พอถึงตอนที่แจกน้ำขิงเสร็จ ติงเซียงก็เหนื่อยจนแทบล้มทั้งยืน นั่งเหม่ออยู่บนตอไม้ มองดูเด็กๆ ผู้อพยพที่เดินไปมาอยู่ตรงหน้า นานๆ ครั้งก็จะยิ้มให้พวกเขาแล้วได้รับ ‘ของมีค่า’ จำพวกก้อนหินสองสามก้อนหรือไม่ก็ใบไม้กลับมา
MANGA DISCUSSION