ตอนที่ 280 หวังหม่าอู่ผู้เปี่ยมน้ำใจ
………………..
“หวังหม่าอู่ เจ้าก่อเรื่องวิวาทอีกแล้วรึ?!”
โจวเจิ้งตวาดลั่น พลิกตัวลงจากหลังม้า ดาบเพิ่งชักออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็พลันนิ่งอึ้งไป
เห็นเพียงว่าภาพเหตุการณ์ดุเดือดที่หลานชายหลิวฉีบอกว่าคนสองกลุ่มกำลังรุมต่อยตีกันนั้นมิได้เกิดขึ้น กลับกลายเป็นหวังหม่าอู่ที่มักทำตัวเป็นอันธพาลกำลังใช้ใบไม้พัดให้ฉินเหยาซึ่งนั่งอยู่บนเสาไม้ ใบหน้าแย้มยิ้มประหนึ่งสหายรัก
“ไหนล่ะการรวมตัว? ไหนล่ะการทะเลาะวิวาท?” โจวเจิ้งหันกลับไปเอ่ยถามหลิวฉีเสียงเบาอย่างกระอักกระอ่วน
หลิวฉีและเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการข้างหลังต่างก็งุนงงไม่แพ้กัน พวกเขาส่ายหน้าอย่างมึนงง ตอนที่จากมา เหตุการณ์มันมิได้เป็นเช่นนี้นี่นา?
“สวรรค์!” เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งอุทานด้วยความตกใจ
โจวเจิ้งรีบมองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งถูกผ้าป่านคลุมท่อนบนไว้อย่างลวกๆ ใต้ร่างเจิ่งนองไปด้วยเลือด
“เกิดอันใดขึ้น?” โจวเจิ้งก้าวพรวดไปเบื้องหน้าหวังหม่าอู่และฉินเหยาพลางเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึม
ฉินเหยาลุกขึ้นยืน หวังหม่าอู่ก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวพลางพัดให้นางต่อ ก่อนเริ่มอธิบายอย่างจนใจว่า
“นั่นคืออาซื่อ ลูกน้องคนหนึ่งที่ข้าเก็บมาจากข้างทาง ข้าเห็นเขาน่าสงสารจึงให้กินดีอยู่ดี นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเศษเดนของโจรภูเขา พอถูกข้าจับได้จึงจนตรอกคิดทำร้ายข้า โชคดีที่ฉินเหนียงจื่อยื่นมือเข้ามาช่วยทันท่วงที ชีวิตข้าจึงรอดมาได้…”
พอพูดถึงตรงที่ปวดใจ หวังหม่าอู่ก็กุมหน้าอก หอบหายใจหนักๆ ท่าทางราวกับจะโกรธจนสิ้นสติไป
ฉินเหยารีบประคองเขาไว้ หวังหม่าอู่พลันใจกระตุก เขามีบุญวาสนาใดกันหนอ! ทั่วร่างพลันสั่นสะท้านขึ้นมา
โชคดีที่ร่างอ้วนท้วนของเขามักจะสั่นอยู่แล้ว โจวเจิ้งจึงมองไม่เห็นอาการสั่นเทาของเขา
เพียงแต่ภาพตรงหน้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
โจวเจิ้งถามฉินเหยาอย่างสงสัยว่า “ที่หวังหม่าอู่พูดเป็นความจริงรึ”
ฉินเหยาพยักหน้า “เจ้าค่ะ เมื่อครู่พวกเรากำลังปรึกษากันเรื่องการค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ เกิดการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”
“อาจเป็นเพราะพวกเราพูดจาเสียงดังไปหน่อยเลยทำให้เด็กน้อยอย่างหลิวฉีคิดมากไปจึงแอบวิ่งไปแจ้งทางการ ขอพี่ใหญ่โจวโปรดอย่าถือสาเด็กเลย ข้าขออภัยแทนเขาด้วย”
ฉินเหยากล่าวจบอย่างจริงจังแล้วโค้งคำนับไปครั้งหนึ่ง
แต่เอวยังโค้งลงไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกหวังหม่าอู่รีบประคองขึ้นมา “ข้าเอง ข้าเอง ผิดพันครั้งหมื่นครั้งก็ล้วนเป็นความผิดของข้า ท่านหัวหน้าโจวโปรดยกโทษให้ด้วยเถิด!”
โจวเจิ้งเบิกตากว้าง มองหวังหม่าอู่ที่กำลังโค้งคำนับอยู่ตรงหน้าก็รีบกระทุ้งศอกใส่สหายข้างกาย “ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่”
สหายตอบกลับด้วยความตกตะลึง “หัวหน้า นายท่านห้ากำลังขออภัยท่านอยู่จริงๆ”
โจวเจิ้งไหนเลยจะกล้ารับการคารวะอันยิ่งใหญ่นี้ได้ เขารีบก้าวไปประคองคนผู้นั้นขึ้น
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นย่อมต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว…ใช่หรือไม่?
ทว่า…
“หลิวฉี เจ้าเด็กนี่ คราวหน้าอย่าได้ผลีผลามเช่นนี้อีกนะ!” โจวเจิ้งตำหนิ
หลิวฉีมองฉินเหยาแล้วมองไปยังหวังหม่าอู่อันธพาลในตำนาน ไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้นจึงก้มหน้าลงอย่างน้อยใจ
แต่โจวเจิ้งและคนอื่นๆ ก็มาไม่เสียเที่ยว ข้างๆ ยังมีอาซื่อ เศษเดนโจรภูเขาอีกคนมิใช่รึ สามารถนำตัวกลับไปรายงานได้
“ไม่เป็นไรจริงๆ รึ” ก่อนจากไป โจวเจิ้งยังหันกลับมาถามอีกครั้ง
ฉินเหยาและหวังหม่าอู่ตอบพร้อมกัน “พวกเราสบายดี”
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะนำเศษเดนโจรภูเขาผู้นี้กลับไปรายงานก่อน วันหลังยังต้องรบกวนเจ้าหวังหม่าอู่ให้ช่วยเป็นพยานบุคคลให้ด้วย ถึงเวลานั้นจะส่งคนมาเรียกเจ้า” โจวเจิ้งเอ่ยเหยั่งเชิง
หากเป็นยามปกติ ไหนเลยเขาจะกล้าเสนอคำขอที่ ‘ไร้มารยาท’ เช่นนี้ มีเพียงวันนี้เท่านั้น
หวังหม่าอู่เองก็พูดง่ายเกินคาด เขาตอบรับติดๆ กัน “แน่นอน แน่นอน เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้ว”
เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการจึงจากไปพร้อมกับความสงสัยเต็มอก
ทว่าสภาพศพของอาซื่อนั้นน่าอนาถนัก เจ้าหน้าที่ทางการผู้รับผิดชอบขนย้ายศพเผลอเปิดผ้าป่านขึ้น สีเลือดบนใบหน้าพลันหายไปในทันที ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
รีบปิดผ้าป่านกลับไปจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
รองนายอำเภอเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย สอบถามโจวเจิ้งถึงเรื่องราวความเป็นมา เหตุใดเวลาผ่านไปปีกว่าแล้ว เศษเดนโจรภูเขาเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่อีก
อันที่จริงโจวเจิ้งเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ฉินเหยาและหวังหม่าอู่ต่างยืนกรานเช่นนั้น แปดส่วนคงเป็นความจริง
ต่อมาเขานึกถึงพวกโจรภูเขาที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานแทนเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาได้ คิดว่าน่าจะเป็นหลังจากสิ้นสุดการเกณฑ์แรงงาน โจรภูเขาเหล่านี้หลบหนีไปเองจึงได้ทิ้งอาซื่อผู้นี้เอาไว้
รองนายอำเภอฟังการคาดเดาของโจวเจิ้งจบก็เปิดรายชื่อผู้ถูกเกณฑ์แรงงานแทนของปีที่แล้วขึ้นมาตรวจสอบ พบว่ามีโจรภูเขาที่มีลักษณะรูปพรรณตรงกับอาซื่อจริงๆ
แต่เมื่อเปิดผ้าป่านเตรียมตรวจสอบลักษณะใบหน้าตามคำบรรยาย ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นก็วางผ้าป่านลง หมุนกาย ไปรายงานต่อใต้เท้านายอำเภอซ่งจาง
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกครั้ง
ใต้เท้านายอำเภอเปิดผ้าป่านเตรียมจะตรวจสอบลักษณะใบหน้า ร่างทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อ รีบปล่อยผ้าป่านลงอย่างรวดเร็ว หมุนกาย เดินช้าๆ ออกจากห้องเก็บศพ แล้วเกาะผนังอาเจียนอย่างหนัก!
แว่วเสียงกัดฟันด่าทออย่างโกรธแค้นไม่เป็นศัพท์ดังออกมาจากปากเขาว่า ‘ฉินเหยา’ ‘เป็นเจ้าอีกแล้ว’ ‘สตรีดีๆ ผู้หนึ่งเหตุใดจึงลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้’ เป็นต้น
ทางด้านเมืองจินสือ
ฉินเหยาขยี้จมูกที่จู่ๆ ก็คันขึ้นมา ก่อนจะกลั้นจามที่เต็มไปด้วยลางร้ายนั้นไว้ได้อย่างหวุดหวิด
อาวั่งประคองหลิวจี้ให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ของหวังหม่าอู่ กลุ่มคนก็ติดตามหวังหม่าอู่ ‘ผู้เปี่ยมน้ำใจ’ ไปยังไร่ส่วนตัวของเขา
ไร่นั้นมีขนาดใหญ่โตนัก ที่นาชั้นดีก็มีเกือบพันหมู่ ผลหมากรากไม้สดใหม่แม้ปล่อยให้เน่าเสียก็ยังกินไม่หมด
พอถึงบ้านตนเอง หวังหม่าอู่ก็ให้ลูกน้องแบกนายท่านสามหลิวเข้าบ้านไปก่อน จากนั้นก็นำผักผลไม้ในบ้านออกมาทั้งหมด ให้ชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลหลิวกิน หากกินไม่หมดก็สามารถห่อกลับไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจเขา ต่อไปเพียงเอ่ยชื่อฉินเหยา พวกเราล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น!
ชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลหลิวและเหล่านักเลงลูกน้องของหวังหม่าอู่ต่างก็เบิกบานสำราญใจ ชุมนุมกันอย่างมีความสุข
ไม่นาน ข้าวสาลีห้ากระสอบก็ถูกมัดไว้อย่างดี นำไปวางไว้ในตัวรถม้าแล้วเทียมเข้ากับคอของเหล่าหวง
ตัวรถม้านี้กว้างขวางและหรูหรากว่าคันที่ฉินเหยาสั่งทำมาก ตัวรถใช้ไม้เนื้อแข็งอย่างดี ล้อรถมิได้หุ้มเหล็ก แต่เป็นโลหะล้วน คำนวณราคาทั้งคันแล้ว หากไม่มีสักยี่สิบตำลึงคงไม่อาจทำขึ้นมาได้
โชคดีที่ติดต่อกับคนกลุ่มของหวังหม่าอู่มาเนิ่นนาน ท่านหมอจึงฝึกฝนความสามารถในการเข้าสู่สภาวะพร้อมทำงานได้ในชั่วพริบตา เขาหลับตาลงแล้วจับชีพจร
ไม่ถึงสองอึดใจพลันลืมตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“นายท่านผู้นี้ ข้าเห็นกระดูกของท่านพิสดารยิ่งนัก พรสวรรค์เลิศล้ำโดยแท้ นับเป็นยอดอัจฉริยะแห่งการฝึกวรยุทธ์หนึ่งในหมื่นที่หาได้ยากจริงๆ!”
หลิวจี้ตื่นเต้นจนสูดหายใจเข้าลึก “จริงรึ”
ฉินเหยาและพวกที่กำลังกินแตงอยา “???”
“ท่านหมอผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่” หลิวเฝยเอ่ยถามหวังหม่าอู่อย่างกังวล
หวังหม่าอู่ตบอกรับรอง “ท่านหมอจินผู้เลื่องชื่อแห่งอำเภอไคหยาง เชี่ยวชาญการรักษาอาการฟกช้ำโดยเฉพาะ อาการบาดเจ็บของพี่ชายเจ้าหาเป็นเรื่องยากไม่”
หลิวเฝยจึงแค่นเสียงเฮอะแล้วปล่อยเขาไป หยิบแตงกวาลูกเล็กกรอบในมือขึ้นมากัดกินต่อเสียงดังกร้วมๆ
เพียงไม่กี่คำของท่านหมอก็ทำให้หลิวจี้หลงเคลิบเคลิ้มไปอย่างยินดีปรีดา จนกระทั่งเข็มเล่มยาวถูกปักลงบนรอยช้ำบนร่าง เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอก ร้องโหยหวนออกมาเสียงหนึ่ง
อาวั่งกดตัวหลิวจี้ไว้มิให้เขาขยับเขยื้อน เกรงว่าท่านหมอจะปักเข็มผิดตำแหน่ง เหนื่อยจนเหงื่อไหลราวกับห่าฝน เกือบจะคุกเข่าให้นายท่านใหญ่ของตนอยู่แล้ว
ในที่สุด ท่านหมอก็ถอนเข็มออกแล้วสั่งยาหลายเทียบ ทิ้งยาทาแก้ฟกช้ำสลายเลือดคั่งไว้ให้แล้วจากไป หลิวจี้จึงค่อยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ฉินเหยาส่งสัญญาณให้อาวั่งอุ้มหลิวจี้ขึ้นไปบนรถม้าแล้วโบกมือเรียกกลุ่มคนจากหมู่บ้านตระกูลหลิวที่กินอิ่มแล้วยังห่อของกลับบ้านให้กลับได้
หวังหม่าอู่เดินตามไปส่งตลอดทางจนกระทั่งเงาร่างของฉินเหยาหายลับไปจากสายตา
รอยยิ้มพลันเลือนหายไปในทันที เขาคว้าไม้เกาหลังขึ้นมา ระบายอารมณ์ด้วยการฟาดลูกน้องข้างกายอย่างบ้าคลั่ง
“คราหน้าก่อนจะลงมือ จำไว้ด้วยว่าต้องสืบให้รู้แจ้งถึงโคตรเหง้าสิบแปดชั่วโคตรของมันผู้นั้นก่อนค่อยลงมือ! เข้าใจหรือไม่? จำไว้ได้แล้วหรือยัง? สมองหมูเหมือนแป้งเปียกเช่นนี้กันทุกคนจริงๆ!”
ด่าจบก็หลั่งน้ำตาออกมาสองหยดอย่างหาได้ยาก “อาซื่อเอ๋ย! น่าสงสาร เราเคยเป็นดั่งพี่น้องกันแท้ๆ แต่เจ้ากลับต้องมาด่วนตายจากไปเช่นนี้…”
พลางกระซิบเสียงแผ่ว “แต่ว่ากลางคืนเจ้าอย่าได้กลับมาหาข้าเป็นอันขาด เจ้าจงไปเกิดใหม่ให้สบายใจเถิด ชาติหน้าอย่าได้เป็นโจรภูเขาอีกเลย จงเป็นคนดี…”
………………..
MANGA DISCUSSION