ตอนที่ 275 เจ้าพูดว่าเชิญนายท่านออกจากบ้าน
………………..
หลิวจี้กระซิบอยู่ข้างๆ ว่า ฟ้ายังไม่สางอาวั่งก็จูงวัวม้าไปกินหญ้าก่อนแล้ว ถือโอกาสกำจัดวัชพืชในแปลงผักสามเฟินบนเขาด้านหลังจนเสร็จสิ้น
จากนั้นก็กวาดลานบ้านด้วยเสียงแผ่วเบาและทำอาหารเช้าเตรียมไว้ รวบรวมเสื้อผ้าสกปรกที่เปลี่ยนเมื่อคืนกองไว้ในอ่างไม้ อาศัยช่วงที่ต้มโจ๊กว่างๆ ก็นำไปซักที่ริมแม่น้ำจนสะอาดแล้วนำกลับมา ตอนนี้ตากไว้อย่างสะอาดสะอ้านบนราวไม้ไผ่ในสวนหลังบ้านแล้ว
หลิวจี้อดไม่ได้ที่จะนับถือ ชูนิ้วโป้งให้ฉินเหยาอย่างลับๆ เจ้าหมอนี่ทำงานเก่งจริงๆ!
ฉินเหยาใช้สายตาเตือนเขาว่าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปก็ลุกขึ้นไปแปรงฟันล้างหน้า หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหยิบหมั่นโถวธัญพืชขึ้นมากิน
หมั่นโถวธัญพืชนุ่มหวานคำหนึ่งเข้าปาก ดวงตาของฉินเหยาก็เบิกกว้างขึ้นทันที รีบหันไปมองหลิวจี้ที่ตกตะลึงเช่นกันแล้วพูดอย่างไร้เยื่อใยว่า “ต่อไปเจ้าไม่ต้องเข้าครัวแล้ว”
หลิวจี้ดีใจจนแทบบ้า ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้อีก!
“อาวั่ง เจ้าอย่ามัวยืนอยู่เลย มานี่มากินด้วยกัน” หลิวจี้กวักมือเรียกอาวั่งอย่างเป็นมิตร แม้แต่รอยแผลเป็นบนหน้าของเขาก็ดูหมดจดน่ามองขึ้นมาด้วย
เมื่อไม่มีผมเผ้ารุงรังและหนวดเคราปกปิดใบหน้า ตอนนี้สีหน้าของอาวั่งจึงมองเห็นได้ง่ายมาก–ใบหน้านั้นแข็งทื่อไร้ซึ่งอารมณ์ใด
ดูเหมือนเขาจะแสดงสีหน้าอื่นไม่ได้ หลิวจี้ให้เขามานั่งกินด้วยกัน เขาก็กล่าวด้วยท่าทีทื่อๆ ว่า “ขอบคุณนายท่าน ฮูหยิน”
หลิวจี้ถามอย่างสงสัย “อาวั่ง เจ้าไม่มีความสุขหรือ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า หยิบโจ๊กขึ้นมาหนึ่งชาม หมั่นโถวธัญพืชสองลูกแล้วนั่งห่างจากโต๊ะไปสองเมตร ร่วมโต๊ะแล้ว แต่ก็ไม่เชิงร่วมโต๊ะเสียทีเดียว
ฉินเหยาเคาะขอบชาม เตือนหลิวจี้ว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขามากนัก ตั้งใจกินอาหารอร่อยๆ เถอะ
อาหารเช้าง่ายๆ มื้อหนึ่ง ฉินเหยากินอย่างพึงพอใจยิ่ง ก่อนออกจากบ้าน นางถึงกับพูดว่า “ตอนเที่ยงข้าจะกลับมากินที่บ้าน”
“เมียจ๋า เดี๋ยว!” หลิวจี้พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้พูด
ฉินเหยาหยุดฝีเท้าที่หน้าประตูใหญ่ รอเขาก้าวเข้ามาหาอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอันใด”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรำคาญของนาง หลิวจี้จึงรีบพูดหยั่งเชิง “เมียจ๋า เมื่อวานข้าไปที่เมือง สืบราคาธัญพืชมาแล้ว ตอนนี้ลดลงมานิดหน่อย ข้าวหยาบหนึ่งจินอยู่ที่สี่สิบเหวิน แต่ข้าวสาลีของเราถือเป็นธัญพืชชั้นกลาง น่าจะยังขายได้สี่ถึงห้าสิบเหวินต่อหนึ่งจินอยู่”
ฉินเหยาบอกให้เขาพูดเข้าประเด็นเลย ปูเรื่องเสียจงใจเกินไปแล้ว
หลิวจี้เอ่ย “เจ้าดูสิ เจ้างานยุ่งถึงเพียงนี้ ราคาธัญพืชก็ลดลงทุกวันๆ เรื่องขายธัญพืชนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด ข้าจะพาอาวั่งไปช่วยอีกแรง พวกเรารีบขายธัญพืชทิ้งเสีย จะได้ไม่เก็บไว้นานจนราคาตก”
พอได้ฟังคำพูดนี้ ฉินเหยาก็เข้าใจแล้ว เช้าตรู่มาส่งตารางข้อมูลสารถี ที่แท้จุดประสงค์ที่แท้จริงอยู่ตรงนี้นี่เอง!
แต่ตารางข้อมูลครั้งนี้ทำได้ดีจริงๆ ให้หลิวจี้ไปลองเชิงดูก่อนก็ได้
“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จัดการตามที่เห็นสมควรเถิด แต่วันนี้ไปที่นาปล่อยน้ำเข้านาให้ข้าก่อน ข้าไปล่ะ”
ฉินเหยาสั่งการเสร็จ เหลือบมองดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาครึ่งดวงแล้ว ไม่มีเวลาพูดคุยกับหลิวจี้มากไปกว่านี้อีก นางยังต้องไปที่โรงงานเพื่อมอบหมายงานให้ทุกคนจึงรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิวจี้กลั้นความดีใจไว้ มองส่งนางเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เลี้ยวเข้าซอยไปจนลับสายตา พอหันกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะเท้าสะเอวแหงนหน้าแล้วหัวเราะลั่น “รวยแล้ว รวยแล้ว ครานี้ร่ำรวยแล้ว!”
อาวั่งที่อยู่ข้างๆ ถาม “นายท่าน พวกเราจะไปปล่อยน้ำเข้านาเมื่อใดหรือ”
รอยยิ้มของหลิวจี้หายไปในพริบตา ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ มีแต่เจ้านี่แหละที่เชื่อฟัง มีแต่เจ้านี่แหละที่จำได้ว่าต้องทำงาน!
เขากลอกตาไปมาแล้วชี้ไปทางสวนหลังบ้าน “ไปเอาจอบอันหนึ่งกับเคียวอันหนึ่งมาจากยุ้งฉาง”
รอจนอาวั่งนำเครื่องมือเกษตรมาให้ หลิวจี้ถึงส่งสัญญาณให้เขาออกไปก่อน ส่วนตนเองยังคงยืนอยู่ด้านในประตู
อาวั่งหันกลับมาอย่างสงสัย “นายท่าน ท่านไม่ไปหรือ”
หลิวจี้กอดอก สั่งด้วยใบหน้าหยิ่งยโส “เจ้าพูดว่า เชิญนายท่านออกจากบ้าน’”
ใบหน้าแข็งทื่อของอาวั่งเผยแววแห่งความงุนงงไม่เข้าใจวาบผ่านไป
เขากล่าวอย่างนอบน้อม “เชิญนายท่านออกจากบ้าน!”
หลิวจี้ไม่ขยับ “เจ้าพูดว่า เชิญนายท่านผู้สง่างามและเจ้าสำราญออกจากบ้าน”
คราวนี้บนใบหน้าของอาวั่งปรากฏความตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด
หลิวจี้ส่ายหน้า “เจ้าต้องพูดว่า เชิญนายท่านใหญ่ผู้องอาจหล่อเหลาและสง่างามเจ้าสำราญออกจากบ้าน’”
“….เชิญนายท่านใหญ่ผู้องอาจหล่อเหลาและสง่างามเจ้าสำราญออกจากบ้าน!” หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ อาวั่งก็แทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมา
หลิวจี้เห็นเขาไม่สามารถรักษาใบหน้าทื่อๆ ไว้ได้อีกต่อไปก็หัวเราะ “ฮ่าๆ” พลางก้าวข้ามธรณีประตู เดินตรงไปยังทุ่งนาด้วยอารมณ์ที่เบิกบานอย่างยิ่ง
อาวั่งแบกจอบถือเคียวตามหลังเขาไป สีหน้าไม่อยากจะเชื่อนั้นราวกับกำลังบอกว่า คนตรงหน้าผู้นี้คงจะป่วยหนักเป็นแน่
แต่พอหลิวจี้หันกลับมา อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดก็ถูกเก็บงำไว้ ยังคงเป็นท่าทางทื่อๆ เช่นเดิม
หลิวจี้รู้สึกว่าอาวั่งที่ตามหลังตนเองอยู่ในขณะนี้ ช่างคล้ายกับปีศาจหุ่นเชิดที่ชื่อหุ่นยนต์ในนิทานที่ฉินเหยาเล่าให้เด็กๆ ฟังอยู่มาก
นายเหนือหัวตั้งโปรแกรมไว้แล้วว่าห้ามมีความรู้สึกของมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดหุ่นเชิดหุ่นยนต์กลับเกิดความรู้สึกของมนุษย์ขึ้นมาเอง เพราะกลัวว่านายเหนือหัวจะจับได้จึงพยายามปิดบังด้านที่เป็นมนุษย์ของตนเองมาโดยตลอด
น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ หลิวจี้เลิกคิ้ว ยกมือขึ้นไพล่หลังแล้วเดินอาดๆ มาถึงทุ่งนา
คนในหมู่บ้านเห็นอาวั่งที่เดินตามหลังเขามาก็ถามอย่างสงสัย “เจ้าสาม บ้านเจ้ามีญาติมาหารึ”
หลิวจี้รีบโบกมือ “ญาติที่ไหนกัน อาสามท่านไม่รู้หรือว่าบ้านข้ามีญาติกี่คน นี่คือคนรับใช้ที่บ้านข้าเพิ่งซื้อมาต่างหาก”
ชี้นิ้วโป้งไปที่อาวั่งแล้วสั่งว่า “อาวั่ง มา ทักทายพวกชาวบ้านหน่อย!”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขาคล้ายจะได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ
แต่เมื่อหันไปมอง อาวั่งก็ค้อมกายลงอย่างนอบน้อม โค้งคำนับให้ทุกคน “อาวั่งเพิ่งมาถึง ขอให้พี่น้องทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย”
มุมปากของหลิวจี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างมั่นใจเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดใจและอิจฉาของชาวบ้าน เขาหยุดยืนอยู่หน้าผืนนาของตนเอง ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วสั่งการให้อาวั่งทำงาน
เขาสั่งการไปพลางมองไปยังผืนนาข้างๆ หลิวต้าฝูกำลังนำคนงานและหลิวกงทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ในนา
เหลือบเห็นอีกฝ่ายมองมาก็รีบชี้ไปที่อาวั่งแล้วพูดว่า “ตายแล้ว ท่านลุงต้าฝู ท่านยังลงมาทำนาด้วยตนเองอีกรึ หลิวกง เจ้าก็ด้วยหรือ ที่บ้านไม่ได้ซื้อคนรับใช้มาสองคนหรอกหรือ เหตุใดไม่พามาให้ช่วยงานเล่า”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เขาก็พูดกับตัวเองว่า “อ้อ เด็กยังเล็กเกินไปทำงานไม่ไหวสินะ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกท่านทำงานของพวกท่านไปเถิด” ท่าทางราวกับพวกคนต่ำช้ากำลังได้ใจนั้น ทำเอาคนอื่นหมั่นไส้จนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลิวต้าฝูส่ายหน้าอย่างจนใจ “เวรกรรมแท้ๆ!”
พอนึกถึงพฤติกรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้ในอดีตของหลิวจี้ ความรู้สึกขอบคุณที่ชาวบ้านมีต่อฉินเหยาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
ยังดีที่ฉินเหนียงจื่อสามารถปราบเจ้าหลิวสามตัวแสบนี้ได้ มิเช่นนั้นพี่น้องชาวบ้านก็ไม่รู้จะต้องทนทุกข์ทรมานจากเขาไปอีกเท่าใด
ดังเช่นในวันนี้ เจ้าหลิวสามก็สงบเสงี่ยมลงไปมากแล้ว
แต่สำหรับอาวั่ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบเจอคนแปลกประหลาดเช่นหลิวจี้ ตลอดทั้งวัน เขาถูกความเอาแน่เอานอนไม่ได้และความคิด ‘พิสดาร’ ของอีกฝ่ายเล่นงานเสียจนเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ
ในที่สุดก็อดทนแล้วอดทนอีก ทนจนสุดจะทน…ก็ยังคงต้องทนต่อไป!
ยามค่ำคืน ทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว
หลิวจี้แอบย่องเข้าไปในห้องนอนของฉินเหยา
ฉินเหยาเอ่ย “เจ้าทรมานเขาถึงเพียงนี้ เขายังไม่ฆ่าเจ้าอีกรึ”
หลิวจี้ตอบ “ไม่มีโทสะเลยแม้แต่น้อย!”
ฉินเหยาเอ่ย “ดูท่าจะไม่มีอันตราย ไม่ต้องหยั่งเชิงแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
หลิวจี้ “รับทราบเมียจ๋า ราตรีสวัสดิ์เมียจ๋า”
………………..
MANGA DISCUSSION