ตอนที่ 273 วินาทีถัดมาข้าผิดไปแล้ว
………………..
ต้าหลาง เอ้อร์หลางและซื่อเหนียงต่างมองหน้ากัน รู้สึกว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อนข้างแปลกประหลาด ท่านแม่กินข้าวคำใหญ่ ทว่าสายตากลับจับจ้องไปยังอาวั่งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
ท่านพ่อมีท่าทีเหม่อลอย เกือบจะป้อนข้าวเข้าจมูกตนเองอยู่แล้ว
มีเพียงซานหลางที่ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ซดข้าวผัดไข่ราดน้ำแกงผักไปครึ่งชามเสียงดังซู้ดซ้าด
ซื่อเหนียงส่ายหน้าอย่างจนใจ พึมพำเสียงเบาว่า “ช่างเป็นเจ้าทึ่มเสียจริง”
“ทึ่มหรือ” ซานหลางฟังไม่ชัด นึกว่าน้องสาวกำลังเลียนเสียงกบร้องกับเขา จึงหัวเราะคิกคักแล้วร้อง “อ๊บ!” ออกมา
ซื่อเหนียง “…”
ผู้เป็นน้องสาวใช้หลังมือตบศีรษะเล็กๆ ของพี่ชายเบาๆ แล้วเผยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พี่เล็กท่านกินต่อเถิด”
ซานหลางยิ้มให้น้องสาวอย่างสดใส คีบไข่ผัดคำใหญ่ใส่ในชามของซื่อเหนียง “ซื่อเหนียงก็กินด้วย ไข่อร่อยนะ”
พูดพลางก็ลุกขึ้น คีบให้ฉินเหยาและหลิวจี้คนละคำ
หลิวจี้มองลูกๆ อย่างพอใจ กินไปพลางลอบสังเกตไปพลาง สายตาสลับไปมาระหว่างอาวั่งและฉินเหยา
ฉินเหยาใช่ว่าจะเป็นท่อนไม้ไร้ความรู้สึก นางถลึงตาใส่หลิวจี้อย่างไม่พอใจแล้วยกมือขึ้นเล็กน้อย คนบางคนก็สงบเสงี่ยมลงทันที
ข้าวสวยห้าชามกับน้ำแกงสองชามลงท้องไปแล้ว ฉินเหยาจึงวางตะเกียบลง
นางพบว่า อาหารบนโต๊ะเป็นปริมาณสำหรับมื้อปกติของครอบครัวทั้งหกคนพอดี อาวั่งผู้นี้ทำได้ตามที่พูดจริงๆ ขอเพียงเศษข้าวเหลือก้นหม้อเท่านั้น
แต่จะให้เหลือส่วนของใครกันเล่า ส่วนของนางก็กินไปหมดแล้ว
หลิวจี้รู้สึกว่าตนเองราวกับเป็นพยาธิในท้องของภรรยาผู้แสนร้ายกาจ นางคิดสิ่งใดเขาก็ล่วงรู้ได้ทั้งหมด ไม่มีอะไรทำให้คนอยากเอาหัวโขกกำแพงได้เท่านี้อีกแล้ว
“เจ้ามานี่ นายท่านจะตบรางวัลของกินให้เจ้า” หลิวจี้กวักมือเรียกคนที่อยู่ริมประตูด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
อาวั่งทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดร้ายกาจเหล่านั้น เขาเดินเข้ามาอย่างนอบน้อมแล้วยื่นชามเปล่าของตนด้วยสองมือไปตรงหน้าหลิวจี้พลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านที่ประทานให้! ขอบคุณฮูหยินที่ประทานให้! ขอบคุณเหล่านายน้อยคุณหนูที่ประทานให้!”
คำว่าประทานให้ที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดนี้ทำเอาหลิวจี้ขนลุกซู่ รีบส่งสัญญาณให้เขาหยุด คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก พูดแค่ขอบคุณนายท่านก็พอ
อาวั่งทำตามทันที “ขอบคุณนายท่าน”
หลิวจี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่งพลันรู้สึกว่าคนผู้นี้น่ากลัวอยู่บ้าง
แม้แต่ตุ๊กตาดินปั้นก็ยังมีโทสะอยู่สามส่วน ในโลกนี้มีคนที่ไร้โทสะ ไร้ศักดิ์ศรี ไร้ความละอายอยู่จริงๆ หรือ
แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะทำเรื่องเกินเลยกว่านี้อีกสักหน่อย
ลอบมองฉินเหยาที่เอนกายพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ ในที่สุดหลิวจี้ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ เทข้าวที่ตนกินไม่หมดให้อาวั่งจนเกลี้ยงแล้วแบ่งไข่กับน้ำแกงที่เหลือในจานให้ลูกทั้งสี่ก่อน ส่วนที่เหลือจึงเทให้เขาไป
อาวั่งพอได้อาหารก็รีบนำออกไปข้างนอกทันที จะกล่าวว่ากินอย่างตะกละตะกลามราวกับหมาป่าเสือโคร่งก็ไม่เกินเลย เพียงไม่กี่คำก็กินหมดแล้ว
หัวใจของหลิวจี้สั่นไหว ถามเขาว่า “อิ่มแล้วหรือ”
อาวั่งส่ายหน้าอย่างซื่อสัตย์ แน่นอนว่ายังไม่อิ่ม
หลิวจี้มองท่าทางของเขาแล้วนึกถึงเหล่าผู้อพยพใต้ประตูเมืองที่ราวกับหมาป่าดุร้ายอยากจะกินคนเข้าไปด้วยซ้ำก็รีบให้เขาไปทำโจ๊กธัญพืชในครัวกินเพิ่มเอง
มิเช่นนั้นเขากลัวว่าตนเองจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วจะพบว่ามือถูกคนตัดไปต้มเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าอาวั่งคาดไม่ถึงว่านายท่านใหญ่ที่เพิ่งพูดจาห้วนๆ กับเขาไปเมื่อครู่จะเกิดใจบุญขึ้นมา เขาชะงักไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นจึงมองไปยังฉินเหยาอย่างไม่มั่นใจนัก
ฉินเหยาพยักหน้า เขาเอ่ยขอบคุณด้วยความประหลาดใจระคนยินดี รีบเข้าครัวไปต้มโจ๊กธัญพืชให้ตัวเองทันที
โอ่งข้าววางอยู่ในครัว ในบ้านไม่มีคนอื่น หลิวจี้รู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากหญิงชราใจแคบในหมู่บ้านเพราะเขาไม่ใส่กุญแจครัวเพื่อป้องกันลูกชายกับลูกสะใภ้
ข้าวสาร ข้าวฟ่าง ข้าวเกาเหลียงและอื่นๆ ในโอ่งมีอยู่ครบถ้วนล้วนเป็นข้าวที่สะอาดสะอ้านไม่มีรำปน
อาวั่งตักข้าวฟ่างมาเกือบครึ่งชามเพื่อต้มโจ๊ก
ฉินเหยากำชับมาจากห้องโถง “ต้มน้ำร้อนเพิ่มอีกสักหน่อย เจ้าเองก็ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดด้วย” นางทนกลิ่นนั้นไม่ไหวจริงๆ
อาวั่งรูปร่างพอๆ กับหลิวจี้ สูงโปร่งเหมือนกัน เสื้อผ้าของหลิวจี้เขาจึงใส่ได้
หลิวจี้มีชุดป่านเก่าอยู่ชุดหนึ่ง เป็นชุดที่ฉินเหยาใส่ตอนมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ซึ่งปะแล้วปะอีก สกปรกก็ได้แต่เอาไปตากแดด ไม่กล้าซักเพราะกลัวว่าจะซักจนเปื่อยขาด
แต่เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าบนตัวของอาวั่งที่กลายเป็นริ้วๆ เพียงขยี้เบาๆ ก็มีขี้ไคลสีดำหลุดออกมาแล้ว ชุดนี้ถือว่าดีกว่ามาก
หลิวจี้ใจบุญขึ้นมาอย่างมาก ยังหารองเท้าสานให้อีกคู่ รอจนอาวั่งกินอิ่มแล้ว ก็พาเขาไปยังริมแม่น้ำ ตนเองเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วกระโดดลงแม่น้ำไปเสียงดัง ดำผุดดำว่ายอยู่ครู่หนึ่งจึงโผล่ศีรษะขึ้นจากน้ำ งอนิ้วเรียก
“อาวั่ง เจ้าลงมาสิ!”
อาวั่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงถอดเศษผ้าขี้ริ้วบนตัวออกแล้วลงไปในแม่น้ำ
เพื่อประหยัดฟืน หลิวจี้ต้องสิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อยเลย เขาใช้สายน้ำในแม่น้ำที่ยังอุ่นจากไอแดดล้างคราบดินโคลนบนตัวออกให้หมดก่อนแล้วค่อยกลับบ้านไปใช้สบู่ถูอีกรอบก็พอแล้ว ประหยัดน้ำไปได้หลายถังเลยทีเดียว
หากจะให้เขาพูด ฉินเหยาก็พิถีพิถันเกินไป ต้องอาบน้ำร้อนให้ได้ ฤดูร้อนเช่นนี้ลงไปอาบในแม่น้ำสักครั้งสบายจะตายไป
เมื่อเห็นสามพี่น้องต้าหลางมองไปทางริมแม่น้ำบ่อยครั้ง ท่าทางเหมือนอยากจะไปด้วย ฉินเหยาจึงกำชับอย่างเคร่งขรึมว่า
“ห้ามแอบลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ ได้ยินหรือไม่”
แม่น้ำในฤดูร้อน น้ำลึกหนึ่งร้อยยี่สิบถึงหนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตร ดูเหมือนไม่ลึกมาก แต่ทุกปีกลับมีเด็กในหมู่บ้านจมน้ำตายไปหนึ่งหรือสองคน
พอได้ยินฉินเหยาพูดเช่นนั้น สามพี่น้องที่กำลังร่ำๆ อยากจะไปด้วยจึงได้ระงับใจลงกลับเข้าห้องอาบน้ำไปอาบน้ำร้อนอย่างว่าง่าย
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉินเหยาพาซื่อเหนียงไปอาบน้ำเป็นรอบที่สอง หลิวจี้เป็นรอบที่สาม และอาวั่งเป็นรอบสุดท้าย
เขาคิดว่านายท่านทั้งสองคนคงเข้านอนแล้ว แต่ไม่นึกว่า สองสามีภรรยาฉินเหยาจะปล่อยผมยาวสยาย กำลังนั่งอยู่ที่ประตูห้องโถงเพื่อรับลมเย็น
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องอาบน้ำ สองสามีภรรยาจึงหันมามองพร้อมกัน
“หืม” หลิวจี้เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “อาวั่ง เหตุใดเจ้าไม่ล้างหน้าเล่า เมื่อครู่ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าใช้กรรไกรโกนหนวดเคราให้เกลี้ยงรึ เหตุใดเจ้าจึงไม่โกน”
ฉินเหยาถามเชิงหยอกล้อ “หรือว่าใบหน้าของเจ้าไม่อาจให้ผู้ใดเห็นได้”
คำถามเชิงหยอกล้อของนางนี้ทำเอาอาวั่งชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่าเขาลืมไป จะไปจัดการตนเองให้สะอาดเดี๋ยวนี้
อาจเป็นเพราะเขาคาดไม่ถึงว่า ในยุคสมัยนี้จะยังมีคนใส่ใจว่าทาสคนหนึ่งจะสะอาดสะอ้านหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าอาวั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ตอนที่หากรรไกรเจอแล้วลงมือจัดการกับผมเผ้ารุงรังที่หน้าผากและหนวดเคราของตนเองนั้น การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้าอย่างยิ่ง
ครึ่งเค่อต่อมา ใบหน้าที่ธรรมดาเสียจนโยนเข้าไปในฝูงชนก็ลืมได้ในพริบตาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าสองสามีภรรยา
หลิวจี้ไม่เชื่อในเรื่องพรรค์นี้จึงเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ๆ แล้วมองดูอีกครั้ง จำไม่ได้จริงๆ!
จำได้เพียงว่าที่มุมกรามของอาวั่งมีรอยแผลเป็นกว้างเท่าปลายนิ้วหัวแม่มืออยู่แห่งหนึ่ง รอยแผลไม่น่ากลัว แต่ดูเหมือนเป็นรอยที่ทิ้งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน สีจึงจางกว่าสีผิวเล็กน้อย หากไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น
หลิวจี้สงสัยจึงถามว่าเขาบาดเจ็บได้อย่างไร อาวั่งตอบว่า “ตอนเด็กข้าเข้าป่าไปตัดฟืนกับพ่อ ไม่ระวังถูกมีดพร้าบาดเอาน่ะขอรับ”
“อ้อ” หลิวจี้พยักหน้า เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย!
พอไล่ให้อาวั่งขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงสองสามีภรรยา หลิวจี้ก็รีบปิดประตูหน้าต่างให้แน่นแล้วคุกเข่าไถร่างรวดเดียวไปอยู่แทบเท้าฉินเหยา!
เขากอดขาของนางไว้แน่นแล้วกดเสียงต่ำพูดอย่างร้อนรน “เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว! เมียจ๋า เจ้าบอกความจริงกับข้า ข้าพาคนร้ายหลบหนีกลับบ้านมาใช่หรือไม่”
“เมื่อครู่ตอนลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ แม้ฟ้าจะมืด แต่ข้าก็เห็นบนตัวเขามีรอยแผลเป็นมากมาย ทั้งลึกทั้งตื้น ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกเลียคมดาบหาเลี้ยงชีพ แผลเก่าหายไม่ทันไรก็มีแผลใหม่เพิ่มมา….”
………………..
MANGA DISCUSSION