ตอนที่ 272 วินาทีก่อนยังมีความรุนแรงภายในบ้าน
………………..
เมื่อเห็นฉินเหยาไม่เอ่ยปากเรื่องจะส่งอาวั่งไปแม้แต่ครึ่งคำ หลิวจี้ก็เดาว่านางพึงพอใจเป็นแน่
เขาขยับเข้าไปใกล้พลางยิ้มอย่างไม่กลัวตาย กล่าวว่า “เมียจ๋า ข้าเป็นห่วงเจ้านะ ทั้งเรื่องในบ้านนอกบ้านล้วนเป็นเจ้าที่จัดการ ข้ากลัวเจ้าจะเหนื่อยเกินไปจึงได้พาอาวั่งกลับมา…”
ฉินเหยาทำท่าทีบอกว่าไม่ต้องประจบสอพลอเช่นนี้พลางเอ่ยความจริงออกมา “เจ้าหาคนมาทำงานที่เจ้าต้องทำต่างหาก”
นางเหลือบมองไปยังแผ่นหลังที่จงใจงองุ้มในครัวแล้วบอกให้หลิวจี้นำเสื่อฟางที่เพิ่งเอาไปวางไว้ในคอกวัวพร้อมกับพวกเด็กๆ กลับมาแล้วเอาไปวางไว้บนห้องใต้หลังคาของยุ้งฉางแทน
หลิวจี้โบกมือ “ไม่ต้องดีกับเขาถึงเพียงนี้ คอกวัวก็พอให้นอนแล้ว”
เขาตะโกนไปยังทางครัวเสียงดัง “ใช่หรือไม่ อาวั่ง?!”
ในครัวมีเสียงตอบอู้อี้ดังมาว่า “ขอรับ”
ท่าทางคนผู้นั้นนอบน้อมอย่างยิ่ง
ฉินเหยาเอ่ยเตือนด้วยเสียงเข้ม “บ้านนี้ข้าเป็นใหญ่”
หลิวจี้ชะงักไป
ฉินเหยาลุกขึ้นเดินมาถึงประตูห้องโถงแล้วกล่าวกับอาวั่งที่อยู่ในครัวว่า “ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อ ผู้ที่ต้องภักดีคือผู้ใด เจ้าต้องแยกแยะให้ชัดเจน อย่าได้จำคนผิด เกาะขาผิดข้าง ถึงเวลานั้นจะไม่เหลืออะไรเลย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ คนในครัวก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นวางตะหลิวในมือลง หันกายกลับมา ดวงตาใต้ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหลือบมองหลิวจี้ที่กำลังตกตะลึงอยู่แวบหนึ่งและแทบจะปราศจากความลังเล เขาคุกเข่าลงอีกครั้ง มองไปยังฉินเหยาแล้วเอ่ยรับคำหนักแน่น “รับทราบแล้วขอรับ ฮูหยิน”
ฉินเหยา “ข้าไม่ชอบก้มหน้าคุยกับคนอื่น”
อาวั่งพลันลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วตอบรับอีกครั้ง “รับทราบแล้วขอรับ ฮูหยิน”
ฉินเหยาจึงขานรับแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาทำงานของตนต่อไปได้
หลิวจี้เรียกอาวั่งสองครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดตอบรับ ครั้นเห็นสีหน้าดูแคลนของฉินเหยาที่หันกายกลับมาก็กำหมัดแน่น
ฉินเหยาตอบเขา “ข้ารู้”
หลิวจี้ “…” ความเงียบของเขาดังสนั่นในหู!
ฉินเหยามิใส่ใจจะมองสีหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเขาและเหลือบมองไปยังทิศทางสวนหลังบ้าน “ยังไม่ไปอีกรึ”
หลิวจี้ร่ำร้องอย่างเงียบงันต่อสวรรค์ อ๊าาาาา!
สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งและสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกหนึ่งครั้ง กดความอัดอั้นคับข้องใจทั้งปวงลงไป ก่อนจะหันกายไปยังโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เก็บเสื่อฟางกลับมาแล้วนำไปปูลงบนพื้นห้องใต้หลังคาของยุ้งฉาง
ห้องใต้หลังคาส่วนที่สูงที่สุดสูงเพียงราวหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ผู้ใหญ่ต้องก้มตัวจึงจะเคลื่อนไหวภายในได้เรียกได้ว่าอึดอัดอย่างยิ่ง
แต่เมื่อเทียบกับคอกวัวแล้ว ที่นี่สะอาดไร้กลิ่นเหม็น ห้องใต้หลังคายังมีหน้าต่าง เมื่อเปิดออกแสงสว่างก็ดีมาก แม้จะยืนตัวตรงไม่ได้ แต่เมื่อนั่งลงกับพื้น ครึ่งบนของร่างกายก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย การปฏิบัตินี้ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หลิวจี้ยิ่งมองห้องใต้หลังคานี้ก็ยิ่งโมโห โยนเสื่อฟางลงบนพื้นแล้ววิ่งกลับไปยังห้องเล็กๆ ของตนเอง หลับตาแล้วแสร้งนอนตาย แสดงความไม่พอใจต่อการใช้อำนาจเผด็จการของฉินเหยา
คนผู้นี้เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเขาที่พากลับมา ผลคือเขาเรียกใช้งานไม่ได้ก็ช่างเถอะ ยังต้องไปปูเสื่อให้ทาสคนหนึ่งอีก ฉินเหยา นังสตรีอสรพิษ อย่ารังแกคนให้มันมากเกินไปนักนะ!
ขณะที่กำลังโมโหอยู่นั้น สี่ศีรษะเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นซ้อนกันที่หัวเตียงของเขา
ต้าหลางจุ๊ปากสองทีพลางทำสีหน้าราวกับว่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ท่านก็ไม่ยอมฟัง
เอ้อร์หลางกลับไม่เกรงใจถึงเพียงนั้นเอ่ยแทงใจดำบิดาของเขาไปตรงๆ ว่า “ท่านพ่อ บอกท่านแล้วว่าอย่าตัดสินใจตามอำเภอใจ ท่านก็ไม่เชื่อ ครานี้เป็นอย่างไรเล่า ทำให้ท่านแม่โกรธอีกแล้ว ท่านบอกมาสิว่าเรื่องนี้มีประโยชน์อันใดต่อตัวท่านบ้าง”
ซานหลางและซื่อเหนียงสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาได้กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยมาจากในครัวจึงวิ่งแน่บหายไปในทันที
หลิวจี้เพิ่งคิดจะเอ่ยว่าเจ้าพวกลูกอกตัญญู ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกจากปาก บุตรชายตัวดีอีกสองคนที่เหลือก็หายวับไปแล้ว
หลิวจี้เพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าตนนั้นว่างเปล่า โลหิตในกายปั่นป่วน เกือบจะสิ้นสติไป
“หอมยิ่งนัก!” ซื่อเหนียงและพวกพี่ๆ ยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวพลางกล่าวอย่างประหลาดใจ
ฉินเหยาที่กำลังล้างหน้าอยู่ในโถงกลางก็มองมาอย่างแปลกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าคนที่หลิวจี้เก็บกลับมาจะมีฝีมือเช่นนี้ด้วย
อาวั่งส่ายหน้าตอบ “เปล่าขอรับ”
หลิวจี้ไม่เชื่อ ยืนกรานว่าเขาต้องแอบกินไปแน่ๆ หิวมานานขนาดนี้ เห็นของอร่อยมากมายขนาดนี้จะอดใจไหวได้อย่างไร?
อาวั่งตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่านายท่านใหญ่ที่พาเขากลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจะเปลี่ยนสีหน้าไปในพริบตาเดียวเช่นนี้
ฉินเหยาถามมาจากในโถงกลาง “ข้าหิวแล้ว ทำไมยังไม่ตั้งสำรับอีก”
หลิวจี้ถึงได้เลิกยุ่งกับอาวั่งที่เต็มไปด้วยแววตาจนใจแล้วสั่งให้เขายกอาหารไปขึ้นโต๊ะ
พวกต้าหลางทั้งสี่คนเดินเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ หยิบชามและตะเกียบของตนเองตามความเคยชิน แต่ก็ถูกหลิวจี้ตวาดห้ามไว้
“ทำอะไรกัน ตอนนี้ที่บ้านมีคนรับใช้แล้ว งานพวกนี้ควรเป็นหน้าที่ของคนรับใช้สิ”
เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียง มองอาวั่งอย่างทำอะไรไม่ถูกแล้วก็มองหลิวจี้อย่างลังเลใจ
ต้าหลางผลักน้องๆ ทั้งสามคนออกไปตรงๆ “ลืมไปแล้วหรือว่าท่านแม่สอนพวกเราไว้อย่างไร เรื่องของตัวเองก็ต้องทำเอง พวกเจ้าอยากถูกลงโทษหรือ”
เอ้อร์หลางสามพี่น้องถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เกือบจะถูกท่านพ่อลากลงคลองเน่าไปแล้ว พวกเขารีบกอดชามและตะเกียบในมือของตนเองไว้แน่นแล้วเดินเข้าโถงกลางไปอย่างมั่นคง จัดเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง รอให้คนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วค่อยเริ่มกินข้าวอย่างเชื่อฟัง
หลิวจี้เข้ามาในห้อง นับดู มีเก้าอี้เจ็ดตัว?
เขายกเท้าคิดจะเตะเก้าอี้ตัวที่เกินมาออกไป ทางด้านฉินเหยานั้นหมดความอดทนแล้วจึงฟาดฝ่ามือลงบนท้ายทอยอวบอิ่มนั้นฉาดใหญ่ บังคับให้นางต้องลงมือจนได้!
เสียง “เพียะ!” นั้นดังชัดเจน หลิวจี้ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที
อาวั่งที่ตามหลังหลิวจี้มาติดๆ สองมือประคองชามอาหารเต็มมือ ถึงกับตกตะลึงกับเหตุการณ์ ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ประกอบกับเสียงร้องโหยหวนของหลิวจี้ดังไปทั่วลานบ้าน เขาจึงถอยหลังไปก้าวใหญ่โดยไม่รู้ตัว ชามน้ำแกงใบใหญ่ในมือซ้ายสั่นไหวเล็กน้อย เกิดระลอกคลื่นขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า
ชั่วครู่ ถึงกลับมามั่นคงดังเดิม น้ำแกงสักหยดก็ไม่หกกระฉอกออกมาจากขอบชาม
ไม่หกเลยรึ?
หลิวจี้กุมท้ายทอยของตนเอง เขาเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน จากนั้นจึงรีบเหลือบมองฉินเหยาที่กำลังจับจ้องไปยังร่างของอาวั่งอย่างไม่วางตา คล้ายจะตระหนักถึงบางสิ่งได้รางๆ
“ซี๊ดๆ~” สูดลมเย็นเข้าปาก หลิวจี้หยุดก่อเรื่องพลางส่งยิ้มประจบประแจงให้ฉินเหยาแล้วนั่งลงข้างๆ พวกเด็กๆ
อาวั่งยกอาหารขึ้นโต๊ะจนครบ ครอบครัวทั้งหกคนหิวกันมานานแล้ว เพิ่งหยิบตะเกียบขึ้นก็เริ่มกินทันที
จะว่าไปแล้ว คนผู้นี้ตัดสินจากภายนอกไม่ได้จริงๆ เมื่อครู่เห็นอาวั่งทำอาหารด้วยท่าทางเงอะงะ ก็นึกว่าเขาคงทำไม่อร่อย ไม่คิดว่าเขาลงมือทำไปส่งๆ รสชาติกลับดีเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ
หลิวจี้กินอาหารอย่างรวดเร็วไปพลางแอบเหลือบมองอาวั่งอีกหลายครั้ง พูดจาเหน็บแนมปนหยั่งเชิงอยู่หลายส่วน “เจ้าหนู มีฝีมือขนาดนี้ ไฉนไม่ไปเป็นพ่อครัวที่ร้านอาหารในเมืองเล่า ไม่ดีกว่ามาเป็นวัวเป็นม้าให้บ้านข้ารึ”
แม้จะมีที่นั่ง แต่อาวั่งก็ไม่ได้มานั่งที่โต๊ะด้วย เขาถือชามเปล่านั่งยองๆ อยู่ข้างประตู รอให้ครอบครัวทั้งหกคนกินเหลือแล้วเขาค่อยกิน ทั้งที่ท้องร้องโครกครากมานานแล้วแต่กลับอดทนเอาไว้ได้ ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาสักครั้ง
ความอดทนอดกลั้นที่ผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ หลิวจี้เคยเห็นเพียงบนตัวของฉินเหยาหญิงร้ายกาจผู้นี้เท่านั้น ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เขาสะบัดศีรษะไปมาพลันรู้สึกว่าฝ่ามือนี้ไม่ได้โดนตีไปเปล่าๆ แล้ว หญิงร้ายกาจผู้นี้กำลังสะกิดเตือนเขาอยู่
………………..
MANGA DISCUSSION