ตอนที่ 270 ประชากรเฟื่องฟู
………………..
อวิ๋นเหนียงเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เมื่อครู่หลิวฉีได้อ่านมาตรฐานการส่งมอบสินค้าที่ผู้จัดการฉินเขียนให้พวกเราฟังอีกครั้ง ในนั้นกล่าวว่าหีบหนังสือทุกใบจะต้องมีสายสะพายไหล่สองเส้นใช่หรือไม่”
ฉินเหยากำลังกินข้าวคำใหญ่ ปากไม่ว่าง เมื่อได้ยินจึงพยักหน้า ใช้สายตาสอบถามว่านางมีปัญหาอันใด ฝีมือของนางเหอนับว่าดีมากอยู่แล้ว บัดนี้ยังเพิ่มความละเอียดของนางชิวเข้าไปอีก สวรรค์ นางเพิ่งรู้ว่าพวกคนงานกินดีถึงเพียงนี้!
ก้มหน้าส่งหมั่นโถวธัญพืชชุ่มน้ำแกงคำใหญ่เข้าปากอีกคำ อร่อยมาก
แม้อยู่ในสถานที่เดียวกันแต่ฉินเหยาอารมณ์เบิกบาน แต่อวิ๋นเหนียงกลับมีสีหน้าสับสนวุ่นวายใจ
“แต่เดิมพวกเราซื้อของสำเร็จรูปจากโรงเย็บปักในอำเภอมา ราคาค่อนข้างแพง บัดนี้ปริมาณที่ต้องการเปลี่ยนจากหนึ่งร้อยเป็นหนึ่งหมื่นเส้น ลองคำนวณบัญชีดูแล้ว แพงกว่าเดิมเสียอีก!”
นางลังเลก่อนเสนอขึ้น “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่า หรือพวกเราจะลองให้เหล่าสะใภ้จากหมู่บ้านใกล้เคียงสักสองสามแห่งเป็นผู้ทำ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง”
ฉินเหยาถามอย่างสงสัย “ฝีมือปักผ้าของพวกนางถึงมาตรฐานของพวกเราหรือ”
อวิ๋นเหนียงพยักหน้าอย่างแรง “ได้แน่นอน ได้แน่นอน หมู่บ้านแถบนี้ของพวกเรามีช่างปักฝีมือดีอยู่หลายคน อีกทั้งลายบนสายสะพายไหล่ก็เรียบง่าย หากให้พวกนางทำ พวกเราเพียงมอบวัตถุดิบให้พวกนาง แล้วให้เงินอีกหลายสิบเหวินก็พอแล้ว”
อวิ๋นเหนียงเพิ่งคำนวณต้นทุนดู หากซื้อของสำเร็จรูปจากโรงเย็บปัก สายสะพายไหล่เส้นหนึ่งต้องใช้เงินเก้าสิบเหวิน แต่หากจ้างสตรีในหมู่บ้านทำ ต้นทุนอาจเหลือเพียงห้าสิบถึงหกสิบเหวินเท่านั้น
ผ้าสำหรับทำสายสะพายไหล่ไม่ต้องดีเกินไป เพียงแค่ต้องการความทนทานและนุ่มนวล สามารถช่วยลดแรงกดบนบ่าได้ก็พอ
ห้าสิบหกสิบเหวินกับเก้าสิบเหวินต่างกันอยู่สามสิบถึงสี่สิบเหวิน ความแตกต่างสำหรับหนึ่งหมื่นชิ้น นั่นคือเงินสามถึงสี่ร้อยตำลึงเชียวนะ
ฉินเหยากินข้าวในไหหมดแล้ว นางชิวก็เข้ามาเก็บไหและตะเกียบนำไปล้างด้วยตนเอง นางรอ ‘ชามเปล่า’ ของฉินเหยาอยู่แล้ว ล้างเสร็จงานของวันนี้ก็ถือว่าจบ สามารถกลับบ้านได้แล้ว~
อวิ๋นเหนียงมองสองสะใภ้นางเหอและนางชิวอย่างอิจฉาแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดคุยรายละเอียดการทำงานกับฉินเหยาต่อ
ตัวอย่างเช่นเรื่องผ้าและเข็มกับด้าย พวกนางยังสามารถสั่งซื้อจากโรงเย็บปักในเมืองได้ หากปริมาณมาก ราคาต้นทุนก็สามารถกดให้ต่ำลงได้อีก จากนั้นค่อยแจ้งให้ช่างปักแถบนี้มารับงานไปทำ
ทางที่ดีที่สุดคือ ในแต่ละหมู่บ้านให้มีช่างปักที่สามารถเป็นหัวหน้าได้หนึ่งคนรับผิดชอบดูแลงาน ช่วยควบคุมคุณภาพ รับผ้าและส่งมอบสินค้า เช่นนี้ก็จะสะดวกต่อการจัดการที่เป็นระบบเดียวกัน
อีกอย่างคือ คิดค่าจ้างตามชิ้นงาน ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ราคาของงานปักแต่ละชิ้นสามารถระบุได้อย่างชัดเจน ช่างปักในโรงเย็บปักของเมืองมีฝีมือเก่งกาจ ราคาย่อมสูง แต่ความจริงแล้วการทำสายสะพายไหล่สำหรับพวกนางนับว่าเป็นงานง่ายเกินฝีมือ
ช่างปักในหมู่บ้าน เพียงแค่ให้ราคาชิ้นละสิบห้าถึงยี่สิบเหวิน ก็มีคนมากมายแย่งกันทำงานนี้แล้ว
คนที่มือเท้าไว วันหนึ่งสามารถทำสายสะพายไหล่ได้ถึงสองคู่เชียวนะ
ฉินเหยามองอวิ๋นเหนียงอย่างตกตะลึง คำว่า ‘งานง่ายเกินฝีมือ’ นางก็รู้จักพูดแล้ว
พลันนึกถึงอวิ๋นเหนียงเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่เอาแต่เฝ้าร้านเล็กๆ ที่บ้าน พูดจาอ่อนหวานนุ่มนวล ไม่ค่อยออกจากบ้าน การกระทำก็ไม่เด็ดขาดและกล้าหาญอย่างเช่นทุกวันนี้
“ผู้จัดการฉิน ท่านว่าอย่างไรบ้าง” อวิ๋นเหนียงมองฉินเหยาอย่างประหม่า รอให้นางตัดสินใจ
ฉินเหยาลุกขึ้นกล่าว “ดีมาก ความคิดนี้ของเจ้านับว่าไม่เลวเลย เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ดำเนินการตามที่เจ้าว่าเถิด เจ้าลองร่างแผนงานออกมาก่อนให้ข้าดู หากข้าดูแล้วเห็นว่าไม่มีปัญหาใดก็จะจัดสรรเงินทุนให้พวกเจ้าไปดำเนินการ”
อวิ๋นเหนียงดีใจยิ่งนัก รีบพยักหน้ารับปากว่าตนเองจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีแน่นอน
แต่ทันใดนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองเขียนหนังสือไม่เป็นแม้แต่ตัวเดียว รู้เพียงวิธีใช้หมึกวัดเส้นในงานไม้ รอยยิ้มพลันหุบลง
ฉินเหยารู้ว่านางกำลังกลุ้มใจเรื่องใดจึงเสนอว่าหากเขียนไม่เป็นก็ใช้วาดเอา หรือเรียบเรียงลำดับเรื่องราวในสมองให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาบอกนาง
“หรืออีกทาง เจ้าก็หาคนที่เขียนเป็นมาช่วยเจ้าเขียน” ฉินเหยายิ้มพลางมองไปยังหลิวฉีที่ถูกหลิวจ้งกดตัวให้นั่งหน้าโม่หินเพื่อเตรียมให้คิดเลขด้วยลูกคิดแล้วขยิบตาให้แก่อวิ๋นเหนียง
อวิ๋นเหนียงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง นางเข้าใจแล้ว
ตลอดช่วงบ่าย ฉินเหยาล้วนอยู่ในโรงงาน ที่ใดมีงานยุ่งต้องการความช่วยเหลือก็เข้าไปช่วย เมื่อมีนางเข้าร่วม ดูเหมือนทุกคนจะทำงานกันอย่างมีกำลังวังชาขึ้น
ผู้ที่ยินดีที่สุดคงไม่พ้นช่างไม้หลิว เมื่อฉินเหยามาถึง ความรับผิดชอบที่กดทับอยู่บนบ่าของเขาก็ถูกปลดลงทั้งหมด ยังมีเวลาว่างนั่งสูบยาเส้นจากกล้องยาสูบกับลุงเก้าบนกองไม้ด้วย
ทั้งสองคนมองโรงงานแห่งใหม่ที่ใกล้จะสร้างเสร็จ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
เส้นทางเล็กๆ ในหุบเขาที่แต่เดิมตลอดทั้งปีแทบไม่มีเงาคน บัดนี้กลับได้ยินเสียงสะท้อนของการพูดคุยของผู้คนแว่วมา
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหุบเขาอันเงียบสงัด นำพาชีวิตชีวาอันไร้ขีดจำกัดมาสู่ป่าเขาที่เงียบสงบเกินไปเหล่านี้
ชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลหลิวที่ทำงานอยู่ในทุ่งนา มองดูเหล่าคนงานหนุ่มสาวที่เลิกงานกลับบ้านพร้อมกับแสงตะวันยามเย็น ก็รู้สึกเพียงว่าวันเวลาเช่นนี้ช่างดูมีอนาคตและความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะในหมู่บ้านได้สร้างโรงงานเครื่องเขียนขึ้น ผู้คนมารวมตัวกัน นับเป็นสัญญาณแห่งความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูโดยแท้
ฉินเหยาเหยียบย่ำเงาสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงกลับบ้าน เดินผ่านคันนาข้างแม่น้ำ ตลอดทางชาวบ้านที่พบเจอต่างก็ทักทายนาง
บ้านที่มีลูกชายทำงานอยู่ในโรงงานเครื่องเขียนก็กำชับนางว่าหากลูกชายพวกเขาไม่เชื่อฟังก็ให้บอกพวกเขาได้ พวกเขาจะช่วยนางจัดการเจ้าเด็กเหลือขอพวกนั้นเอง
บ้านที่มีลูกสาวก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ลูกสาวพวกเราทั้งเก่งกาจทั้งรู้ความ ไม่ต้องให้ฉินเหนียงจื่อต้องเป็นกังวล งานที่หัวหน้าในโรงงานมอบหมายให้ รับรองว่าทำเสร็จเรียบร้อยแน่!”
เพราะโรงงานไม่จำกัดเพศ หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนหรือรอการแต่งงานจำนวนไม่น้อยจึงเข้าร่วมหน่วยลงสีของอวิ๋นเหนียง เนื่องจากมองไปล้วนเห็นแต่สตรี พี่สะใภ้โจวจึงเรียกหยอกพวกนางว่านี่คือกองทัพเมียจ๋า
ค่าจ้างที่หญิงสาวได้รับนั้นมากกว่าช่างไม้ชายทั่วไปถึงสองเหวิน ค่าจ้างวันละสิบสองเหวิน เมื่อจ่ายเงินแล้วนำกลับบ้านล้วนเป็นห่อเหรียญเงินที่หนักอึ้งห่อใหญ่
เหล่าคนในตระกูลถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เด็กผู้หญิงเองก็สามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงดูตนเองได้ ช่างมีความสามารถไม่ธรรมดาเลยหนอ
ผู้เฒ่าในตระกูลที่แต่เดิมเอาแต่พูดคำว่า ‘ประชากรเฟื่องฟู’ ติดปากอยู่ทุกวัน แต่กลับไม่ยอมรับว่าเด็กผู้หญิงก็นับเป็นประชากรด้วย บัดนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเหล่านั้นเลิกงานกลับบ้านเป็นกลุ่มพลางหัวเราะให้กัน ต่อให้ปากแข็งเพียงใดก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ พึมพำซ้ำๆ เสียงเบาว่า
“เฟื่องฟูแล้ว เฟื่องฟูแล้ว…”
หลายบ้านที่มีแต่ลูกสาวล้วนขับไล่แม่สื่อที่มาทาบทามสู่ขอลูกสาวตนกลับไป บอกว่าตอนนี้ลูกสาวพวกเขายังไม่รีบแต่งงาน ขอเลี้ยงดูต่อไปอีกหลายปีค่อยว่ากัน
เด็กสาวอายุสิบห้าเหล่านี้ นับเป็นกำลังหลักของโรงงานโดยแท้ ไม่เพียงหาเงินได้ด้วยตนเอง ยังสามารถช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้อีก ใครเล่าจะยังรังเกียจว่าพวกนางโตแล้วยังอยู่บ้านเพิ่มปากท้องให้สิ้นเปลืองอาหารไปเปล่าๆ?
มีแต่ภาวนาให้พวกนางอยู่ต่อไปอีกหลายปี เลี้ยงดูปูเสื่อคุณหนูเหล่านี้ด้วยของกินของใช้ดีๆ
ทว่าก็มีบางพวกที่ขูดรีดบุตรหลานราวกับจะดูดกินไขกระดูกอยู่บ้าง หัวหน้างานด้านบนต่างล้วนคอยจับตาดูอยู่ เก็บค่าจ้างของพวกเขาเอาไว้แล้วให้พวกเขามาเบิกใช้เมื่อต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบิดามารดาแย่ๆ เหล่านั้นแย่งชิงไป
เมื่อมีโรงงานเครื่องเขียนเป็นที่พึ่งพิงแล้ว เด็กๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้บัดนี้ก็สามารถแอบซื้อของกินอร่อยๆ มาบำรุงปากท้องตนเองได้บ้าง ใบหน้าจึงเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นหลายส่วน
ชาวบ้านพูดจาไพเราะไม่เป็น แต่ความรู้สึกขอบคุณแทบจะเอ่อล้นออกมาจากในดวงตา ฉินเหยาเดินไปไกลแล้ว พวกเขาก็ยังคงมองอยู่ไกลๆ กำชับนางว่าอย่าลืมเรียกให้พวกเด็กๆ ไปเก็บผัก เก็บลูกหม่อน ขุดถั่วลิสงที่บ้านไปกินเล่า
ฉินเหยากลัวสิ่งเหล่านี้ที่สุดแล้ว นางรับน้ำใจนั้นไว้ แต่ฝีเท้ากลับเร่งเร็วขึ้น เกือบจะเรียกได้ว่าวิ่งหลบมาตลอดทางจนถึงบ้าน เมื่อประตูใหญ่ปิดลงดัง “ปัง” จึงสามารถกักกั้นความกระตือรือร้นที่แทบจะท่วมท้นตัวนางไว้ด้านนอกได้
………………..
MANGA DISCUSSION