ตอนที่ 266 กระเป๋าเกลี้ยงยิ่งกว่าใบหน้า
………………..
คืนหนึ่งไร้ฝัน เมื่อฉินเหยาตื่นขึ้นเองก็ยังคงเช้าอยู่มาก
ในลานบ้านมีเสียงกวาดถูดังมาแว่วๆ ฉินเหยาลุกขึ้นผลักประตูมองออกไป หลิวจี้กำลังถือไม้กวาดกวาดฝุ่นในลานบ้าน พวกต้าหลางสี่พี่น้องกำลังนั่งตัวตรงอยู่หน้าหน้าต่างที่เปิดกว้าง อ่านหนังสือยามเช้าด้วยเสียงแผ่วเบา
นับตั้งแต่ไปเมืองหลวงของมณฑลจนกลับมา นิสัยการอ่านหนังสือยามเช้าได้ถูกปลูกฝังขึ้นแล้ว พี่น้องหลายคนต่างยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ทุกวันตื่นเช้ามาอ่านหนังสือ มีเพียงสองวันในรอบสัปดาห์เท่านั้นจึงจะสามารถนอนตื่นสายได้
โดยทั่วไปต้าหลางจะไม่นอนตื่นสาย เขายังต้องฝึกวรยุทธ์ พื้นฐานไม่อาจละเว้นได้แม้เพียงวันเดียว
ในจุดนี้เอ้อร์หลางกลับไม่อาจยืนหยัดได้ มักจะแอบอู้อยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับฉินเหยาเห็นว่าเขาไม่สนใจจึงไม่ได้ควบคุมการฝึกวรยุทธ์ของเขาอีกจึงกลายเป็นทำแบบสามวันหยุดสองวัน
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ สภาพร่างกายของเอ้อร์หลางก็ยังดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป
ฉินเหยามองไปทางหลิวจี้ ชี้ไปยังใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง แล้วส่งสัญญาณให้เขาจัดการให้สะอาดไปด้วยกัน ด้วยเกรงว่าจะรบกวนการอ่านหนังสือยามเช้าของเด็กๆ นางจึงไม่ได้ทักทายพวกเขา แล้วกลับเข้าห้องไปหวีผมให้เรียบร้อย เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่เนื้อบางเบา แล้วหิ้วถังเดินไปยังบ่อน้ำของหมู่บ้าน
โอ่งน้ำใหญ่สองใบในบ้าน ตักน้ำสามเที่ยวจึงจะเต็มซึ่งถือเป็นการอุ่นเครื่อง
รอตักน้ำเสร็จก็ไปยังสวนหลังบ้านที่หลิวจี้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เข้าร่วมกับต้าหลางที่เข้าประจำที่แล้ว ออกกำลังกายตามเกณฑ์ที่ทำทุกวันจนเสร็จสิ้น
ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ อาหารเช้าทางฝั่งหลิวจี้ก็ทำเสร็จพอดี ครอบครัวทั้งหกคนมานั่งล้อมวงอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยตัวเล็กในลานบ้าน กินข้าวไปพลางพูดคุยถึงแผนการสำหรับวันนี้ไปพลาง
เอ้อร์หลางพอนั่งลงก็ยกมือขึ้นขออนุญาตทันที “ท่านแม่ อีกสักครู่พวกข้าไปเที่ยวเล่นบนเขาได้หรือไม่ขอรับ”
ซื่อเหนียงก็เลียนแบบท่าทางของพี่ชาย พยายามยกมือเล็กๆ ขึ้น “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าอยากไปขุดผักป่าริมทุ่งนากับพี่จินฮวาได้หรือไม่เจ้าคะ”
เพราะไม่ใช่วันหยุด แม้ว่าสำนักศึกษาจะปิดภาคเรียนยาวไม่ต้องไปเรียน แต่การจะออกไปเที่ยวเล่นก็ต้องแจ้งล่วงหน้าเสียก่อน
นี่เป็นกฎที่ฉินเหยาตั้งขึ้น นางไม่ได้อยู่บ้านบ่อยนัก บางครั้งก็ยุ่งอยู่ในโรงงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากลูกๆ วิ่งเล่นไปทั่วแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาคนได้ที่ไหน
ดังนั้นการแจ้งล่วงหน้าจึงดีมาก อย่างน้อยนางก็รู้ชัดเจนว่าพวกเขาไปเล่นแถวไหน การตามหาคนก็จะง่ายขึ้น
ขั้นตอนถูกต้อง อยากออกไปเที่ยวเล่นย่อมไม่มีปัญหา
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วกำชับพวกเขาว่าอย่าเข้าไปในภูเขาลึก
ต้าหลางและเอ้อร์หลางสบตากันอย่างยินดี ซานหลางก็ขยับเข้าไปใกล้พี่ชายทั้งสอง กระซิบเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ ท่านเอาธนูไปด้วยนะ”
ต้าหลางรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกลัวว่าฉินเหยาจะได้ยิน จึงรีบยกชามขึ้นแสร้งทำเป็นตั้งใจกินข้าว ที่จริงแล้วหัวใจของสามพี่น้องลอยไปอยู่ในป่าแล้ว คิดถึงความสุขในการยิงนกจับปลา
หลิวจี้ก็อยากออกไปเดินเล่นเช่นกัน เขาดื่มโจ๊กเนื้อในชามหมดในไม่กี่คำแล้ววางชามลง ก่อนจะยกมือขึ้นด้วย “เมียจ๋า อีกสักครู่ข้าตั้งใจจะไปจูงวัวกลับมา แล้วก็จะไปที่ตัวอำเภอเสียหน่อย จะไปสืบราคาธัญพืชดู”
นับตั้งแต่รู้ว่าฉินเหยาคิดจะขายข้าวสาร หัวใจของเขาก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ในใจคิดว่า เมียผู้แสนร้ายกาจจะต้องวิ่งวุ่นยุ่งอยู่ที่โรงงานจนไม่มีเวลาออกไปสืบข่าวเป็นแน่ เรื่องขายข้าวสารนั่นมิใช่ต้องตกเป็นหน้าที่ให้เขาจัดการหรอกรึ?
นับตั้งแต่ครั้งก่อนตอนแข่งเรือมังกรที่เมืองหลวงของมณฑลแล้วถูกฉินเหยาริบทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดไป ในกระเป๋าของเขานี้ก็เกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าเสียอีก
อย่างไรเสียเขาก็ทนกับวันคืนที่ไม่มีเงินติดตัวสักเหวินไม่ไหวแล้ว ครั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องแอบเก็บเงินส่วนตัวเข้ากระเป๋าให้ได้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะ “ฮี่ๆๆ” ออกมาอย่างร่าเริง
“เจ้าหัวเราะอะไร” ฉินเหยาเหลือบมองหลิวจี้อย่างสงสัย
หลิวจี้ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองลืมควบคุมสีหน้าไปชั่วขณะจึงรีบเก็บสีหน้า แล้วพูดจาเหลวไหลไปว่า “ไม่ได้เจอเจ้าวัวต้าชิงของบ้านเราเสียนาน คิดถึงมันเสียจริง”
ฉินเหยาแค่นเสียง ‘ชิ’ นางเชื่อเขาตายล่ะ
แต่เมื่อหลิวจี้จะออกไปข้างนอกก็สามารถช่วยนางทำเรื่องหนึ่งได้พอดี
ฉินเหยากำชับว่า “ข้าเตรียมจะจัดตั้งขบวนรถม้าที่ไว้ใจได้ของตนเองขึ้นมาขบวนหนึ่ง เจ้าก็ถือโอกาสนี้รวบรวมข้อมูลของสารถีในหมู่บ้านและตำบลแถบเมืองจินสือนี้กลับมาให้ข้าด้วย”
พูดพลางก็เห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลิวจี้ดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด ฉินเหยาหรี่ตาลงอย่างอันตราย ถามว่า “ทำได้หรือไม่”
“หญ้าในแปลงผักที่บ้านจะสูงกว่าผักอยู่แล้ว ยังมีนาข้าวกับแปลงแตงโมของบ้านเราอีก ล้วนต้องไปดูแลจัดการเสียรอบหนึ่ง ปุ๋ยไม่พอก็ใส่ปุ๋ย หญ้าเยอะไปก็ถอนหญ้า น้ำไม่พอก็เฝ้าคูน้ำผันน้ำเข้ามา เรื่องมันเยอะแยะไปหมด ข้าว่าเจ้าอย่าออกไปเลยจะดีกว่า วันนี้อยู่ที่บ้านจัดการงานในไร่นาให้เสร็จก่อนเถอะ…”
“อย่า อย่า อย่า!” หลิวจี้รีบชิงพูดขึ้นมา รีบพูดว่าตนทำได้ “เมียจ๋า เรื่องที่โรงงานของเจ้าตอนนี้สิถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ชักช้าไม่ได้ ข้าจะไปช่วยเจ้าสืบข่าวก่อน งานในไร่นาทำเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน ไว้ข้าค่อยๆ จัดการทีหลัง”
ฉินเหยาพยักหน้า วางชามและตะเกียบลง เข้าไปในห้องหยิบเอาแผนงานที่ตนเขียนไว้แล้ว แล้วออกจากบ้านไปจัดการเรื่องงานสำคัญ
พ่อลูกหลายคนตามฉินเหยาออกจากบ้านไปติดๆ ทั้งครอบครัวไปรวมตัวกันที่เรือนเก่าครู่หนึ่ง ต่างคนต่างเรียกหาเพื่อนพ้องของตนแล้วจึงแยกย้ายกันไป
หมู่บ้านตระกูลหลิวในวันวาน ในไร่นาคือที่ที่คึกคักที่สุด มองไปแวบเดียวล้วนเห็นแต่ชาวนาที่กำลังยุ่งอยู่ในไร่นา
มาบัดนี้ สถานที่ที่คึกคักที่สุดกลับกลายเป็นโรงงานเครื่องเขียนตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน
ฉินเหยาเดินไปยังไม่ถึงโรงงานเครื่องเขียนก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ไกลๆ กำลังยกคานไม้หนักอึ้งทีละท่อนภายใต้การบัญชาของลุงเก้า เพื่อยกขึ้นเป็นคานให้กับโรงงานใหม่ที่ใกล้จะสร้างเสร็จ
แบบแปลนโรงงานที่นางส่งมาก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้รับการสร้างขึ้นใหม่จนเกือบจะเหมือนแปลนถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
เพื่อประหยัดเวลาและสะดวกต่อการก่อสร้างของคนงาน โรงงานที่สร้างเพิ่มขึ้นใหม่จึงสร้างอยู่รอบนอกของโรงงานเดิม โอบล้อมทั้งสี่ด้าน ล้อมโรงงานดั้งเดิมที่สุดเอาไว้ตรงกลาง
ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่เว้นช่องทางเดินไว้ระหว่างโรงงานเดิมและโรงงานปัจจุบัน ทั้งสองฝั่งก็จะกลายเป็นส่วนรวมที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่นโดยธรรมชาติ
โชคดีที่แต่เดิมตอนสร้างโรงงานเลือกพื้นที่ได้ใหญ่พอ จึงหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการโยกย้ายได้
แน่นอนว่า เมื่อพื้นที่ที่ครอบครองใหญ่ขึ้น ค่าเช่าก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ทุกปีจะต้องส่งมอบเงินสองตำลึงให้แก่ตระกูล
ค่าเช่าราคานี้ เมื่อเทียบกับข้างนอกแล้วเรียกได้ว่ามีน้ำใจอย่างยิ่ง
หากเป็นข้างนอก ค่าเช่าที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้ ปีหนึ่งหากไม่มีสักยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงเอาไม่อยู่
ครั้งนี้เป็นการดำเนินการโดยมองการณ์ไกล ไม่อาจจะทำอย่างลวกๆ เหมือนตอนสร้างโรงงานครั้งก่อนได้อีกจึงมีมืออาชีพอย่างลุงเก้านำทีม โครงสร้างหลักใช้กำแพงอิฐเขียวครึ่งหนึ่งและกำแพงดินดิบอีกครึ่งหนึ่ง ด้านบนมุงหลังคาด้วยกระเบื้องทั้งหมด
ตอนที่ช่างไม้หลิวได้รับแบบแปลนการออกแบบก็ร้องออกมาว่าช่างหรูหราฟุ่มเฟือยนัก แต่ครั้นมาคิดดูภายหลัง นี่เป็นสถานที่สำหรับแปรรูปไม้ซึ่งกลัวน้ำกลัวไฟ ก็จำเป็นต้องใช้อิฐและกระเบื้องจริงๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
หลังจากไม้จากทางเถ้าแก่ฟางขนส่งมาถึง เมื่อมองดูดวงอาทิตย์เหนือศีรษะที่ร้อนแรงจนแทบจะแผดเผาคนให้เกิดภาพลวงตาได้ ช่างไม้หลิวก็จัดคนสองคนไว้คอยผลัดเวรเฝ้าดูแลกองไม้โดยเฉพาะ
หนึ่งคือป้องกันไฟ และสองคือป้องกันขโมย
ไม้สำเร็จรูปเหล่านี้ ท่อนเดียวก็มีมูลค่าไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามโกลาหลที่ข้างนอกมีผู้อพยพลุกฮือขึ้นทุกหนแห่งเช่นนี้ ยิ่งต้องใส่ใจป้องกันให้มาก
ทว่าก็มีข้อดีอยู่บ้าง นั่นคือคนในโรงงานโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนในหมู่บ้าน โอกาสที่ไม้จะถูกขโมยจึงลดลงอย่างมาก
บัดนี้ภายใต้การก่อสร้างอย่างเหนื่อยยากของพวกของลุงเก้า โรงงานส่วนที่ต่อเติมรอบนอกจึงเหลือเพียงสองขั้นตอนสุดท้ายคือการยกคานและมุงกระเบื้อง คาดการณ์ไว้ว่าภายในสองวันก็น่าจะเสร็จสมบูรณ์
เพื่อให้แห้งและระบายอากาศได้ดี ห้องทุกห้องจึงโปร่งทะลุทั้งสองด้าน มีเพียงโกดังเก็บของเท่านั้นที่สร้างกำแพงครบทั้งสี่ด้าน
เมื่อคำนึงถึงปัญหาเรื่องจำนวนคนงานที่เพิ่มขึ้น จึงได้สร้างโรงอาหารกว้างขวางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง
………………..
MANGA DISCUSSION