ตอนที่ 232 ฮึกเหิม
………………..
“ท่านพ่อ โต๊ะเลี้ยงมังกรอร่อยหรือไม่เจ้าคะ” ซื่อเหนียงอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก
หลิวจี้คิดถึงท่าทีปรารถนาของเหล่าบัณฑิตที่ห้องโถงก่อนหน้านี้ก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจนักว่า “ต้องอร่อยแน่นอนสิ หากไม่อร่อยจะเรียกว่าโต๊ะเลี้ยงมังกรได้อย่างไร”
ซื่อเหนียงยกมือเล็กขึ้นทันที “ข้าจะเข้าร่วม!”
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงคิดว่าใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้
หลิวจี้กล่าวว่าเหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองนั้นต่างจับจองกลุ่มแข่งกันหมดแล้ว ฝึกซ้อมกันมาตั้งแต่เดือนก่อน คนธรรมดาอย่างพวกเราได้แค่ดูเท่านั้น
ซื่อเหนียงถอนหายใจ “ก็ได้”
แต่หากได้ไปร่วมสนุกด้วยก็คงจะดีมากทีเดียว!
“ท่านแม่ พวกเราไปกันเถอะนะ” ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียง มองฉินเหยาด้วยความคาดหวัง
ฉินเหยาจะปฏิเสธได้อย่างไร
“การแข่งขันเริ่มยามใด” ฉินเหยาถามหลิวจี้
หลิวจี้ตอบ “เริ่มการแข่งขันตอนเที่ยงวัน แต่พวกเราควรไปกันแต่เช้าหน่อย ไปช้ากว่านี้เกรงว่าจะหาที่นั่งดีๆ ไม่ได้!”
“อืม ถ้าเช่นนั้นก็รอตื่นนอน ทำการบ้านอ่านหนังสือช่วงเช้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไป”
ทันทีที่ฉินเหยากล่าวจบ ภายในห้องก็เกิดเสียงโห่ร้องยินดี ฉินเหยารีบทำท่าทางให้เงียบ เหล่าเด็กทั้งสี่ก็หัวเราะคิกคัก รีบเอามือปิดปากตัวเอง
“เงียบหน่อย อย่าส่งเสียงดังรบกวนแขกคนอื่นๆ” ฉินเหยาเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สี่พี่น้องพยักหน้า แต่ความสุขในแววตากลับไม่อาจซ่อนเร้น
นานๆ ครั้งจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ พอรุ่งเช้าวันถัดมา สี่พี่น้องก็พากันตื่นเช้ากว่าปกติ เพียงเพื่อจะได้รีบอ่านหนังสือยามเช้าให้เสร็จแล้วไปหาทำเลดีๆ ดูการแข่งเรือมังกร
แต่คนที่ตื่นเช้ากว่าพวกเขาก็คือหลิวจี้ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในสำนักศึกษาอำเภอไคหยางว่าเป็นจอมขยันอย่างแท้จริง!
เขาทำการบ้านล่วงหน้า อาศัยใบหน้าที่คุ้นเคยไปขอยืมตะกร้าผักจากท่านป้าโจวผู้ดูแลห้องครัว แล้วออกไปซื้อผักกลับมา
นำผักที่ซื้อมาทำอาหารเช้า ส่วนที่เหลือเก็บไว้ในห้อง
เนื่องจากฉินเหยายังคงนอนหลับอยู่ เขาจึงเข้าออกห้องอย่างแผ่วเบาราวกับขโมย ทำให้ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียง ที่นั่งอ่านหนังสือยามเช้าอยู่หน้าประตูอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
โชคดีที่เมื่อวานฉินเหยาเลือกห้องพักชั้นล่างที่หันหน้าเข้าสู่ลานด้านใน มีบันไดหินให้นั่ง
มิเช่นนั้นหากมีแขกคนอื่นๆ เดินเข้าออกห้องพัก คงต้องเดินข้ามตัวสี่พี่น้องไป
มีผู้คนมากมายตื่นเช้ามาอ่านหนังสือ เก้าในสิบส่วนของแขกในโรงเตี๊ยมคือเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมการสอบระดับมณฑล ทันทีที่ฟ้าสางไม่นานนัก ลานตรงนี้ก็ถูกผู้คนพบเข้าและมีบัณฑิตทยอยกันมามากมาย
เสียงอ่านหนังสือดังก้องกังวานราวเสียงระฆังและกลอง
นี่เป็นบรรยากาศการอ่านหนังสือแต่เช้าที่ต้าหลางและน้องๆ ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็จมดิ่งลงสู่บรรยากาศนั้นจนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ใด
เสียงเล็กๆ ของเด็กดังขึ้น เหล่าบัณฑิตต่างก็มองมาด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงเด็กน้อยสี่คน ถือหนังสืออยู่ในมือ นั่งเรียงกันเป็นระเบียบอยู่บนบันไดหิน กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจเช่นกัน
เมื่อทั้งสองฝ่ายสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
มีบัณฑิตผู้หนึ่งที่มีนิสัยเปิดเผยและร่าเริง เดินเข้ามาอ่านหนังสือบทเดียวกันกับพวกเขา
จากนั้นจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เสียงอ่านหนังสือดังกระหึ่มไปทั่วลาน
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง ส่องประกายระยิบระยับ
ผู้คนเดินผ่านหน้าประตูโรงเตี๊ยม เมื่อได้ยินเสียงอ่านหนังสือที่ดังและเป็นระเบียบนี้ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า
พวกเขาคือพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ที่ตื่นเช้ามาค้าขาย หญิงชาวบ้านที่ออกมาซื้อผัก คนงานขยันขันแข็งที่กำลังจะไปทำงานและเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งออกจากกะ
บางทีพวกเขาอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น แต่กลับถูกดึงดูดอย่างประหลาด
เพราะสิ่งที่พวกเขาได้ยินคือความฮึกเหิมของบัณฑิต สิ่งที่พวกเขาได้เห็นคืออนาคตอันรุ่งเรืองของแคว้นเซิ่ง
“เสียงอ่านหนังสือไพเพราะจริงๆ” แม่ค้าขายผักกล่าวชื่นชม
……
“ท่านแม่ วันนี้ตอนเช้ามีพี่ชายหลายคนมาอ่านหนังสือกับพวกเราด้วย”
ขณะที่ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงทานอาหารเช้า คู่แฝดก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ให้ฉินเหยาฟังด้วยความตื่นเต้นเป็นพิเศษ
มีเก้าอี้เพียงสี่ตัว หลิวจี้จึงยืนทานอาหารอย่างรู้ตัว ต้าหลางสละที่นั่งให้ฉินเหยาแล้วนั่งยองๆ ทานอาหารบนพื้น
อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก
ฉินเหยาไม่ได้เล่นบทหลีกทางให้กัน นางทานอาหารอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่คำก็ทานเสร็จ จากนั้นลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วผายมือให้ต้าหลางนั่งทานช้าๆ ยิ้มพลางฟังพวกเขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนเช้า
ความจริงแล้วในใจของนางกำลังตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า ขอบคุณพวกเจ้ามาก ข้างีบหลับตอนเช้าไม่ได้เลย!
แต่ประสบการณ์ที่หายากเช่นนี้จะไม่เขียนบันทึกประจำวันได้อย่างไร
“เย็นนี้พอกลับมา ข้าจะสอนพวกเจ้าเขียนบันทึกประจำวัน พวกเราจะบันทึกเรื่องราวพิเศษของวันนี้ไว้” ฉินเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของคู่แฝดที่กำลังเล่าเรื่องอย่างตื่นเต้นเปลี่ยนไปพร้อมกัน
ต้าหลางและเอ้อร์หลางก็เกือบสำลักอาหารที่ยังไม่ได้กลืนลงคอ
ฉินเหยาถามด้วยความสงสัย “ไม่ดีใจหรือ”
สี่พี่น้องส่ายหน้าอย่างแข็งทื่อ พยายามฝืนยิ้มออกมาแล้วกล่าวอย่างเหม่อลอยว่า “ดีใจ”
“เอาล่ะ เตรียมตัวกันเถอะ พวกเราจะออกเดินทางไปชมการแข่งเรือมังกรกัน”
สี่พี่น้อง “ได้!!!”
ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะดีใจจริงๆ
หลิวจี้ถามว่าจะชวนหลิวลี่ไปด้วยหรือไม่ ฉินเหยาพยักหน้าให้เขาไปถามดู
หลิวลี่ตอบรับด้วยความยินดี ยังชวนต้าจ้วงไปด้วย ทั้งสองครอบครัวออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความเบิกบาน มุ่งหน้าไปยังจุดแข่งทางทิศใต้ของเมือง
นึกว่าตัวเองมาเช้าพอแล้ว ที่ไหนได้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ต่างคนต่างคิดว่าจะคาดเดาการคาดการณ์ของคนอื่นได้ สุดท้ายก็ไปกันเร็วกว่าเดิมอีก
แม้แต่สองฝั่งแม่น้ำก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ฉินเหยาครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ รู้สึกเหมือนมีซอมบี้บุกเมืองเลย
ต้าหลางตาไว สังเกตเห็นแท่นว่างอยู่ข้างสะพานหิน กำลังจะเรียกบิดามารดาให้ไปตรงนั้น หลิวจี้ที่ดูออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ก็กล่าวว่า
“ตรงนั้นสงวนไว้สำหรับท่านใต้เท้าผู้ว่าการและเหล่าคุณชายคุณหนูจากตระกูลใหญ่ในเมืองเท่านั้น”
หลิวลี่ถามต่อ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าสืบมาแล้ว ย่อมรู้สิ!” หลิวจี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แต่ข้าก็ยังรู้ตำแหน่งที่ดีเยี่ยมอีกแห่งหนึ่ง พวกเจ้าตามข้ามา”
ภายใต้สายตาสงสัยของฉินเหยา หลิวจี้ได้พิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเขาได้เตรียมตัวสำหรับการแข่งเรือมังกรในวันนี้อย่างจริงจัง
ภายใต้การนำของเขา ทุกคนเบียดเสียดผู้คนริมฝั่งแม่น้ำ มาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ทางทิศตะวันออกของสะพานหิน
ใต้ต้นไม้ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนเช่นกัน ต้าหลางมองบิดาด้วยความไม่ไว้วางใจ “ตรงนี้ก็มองไม่เห็นนี่”
ด้วยข้อจำกัดด้านความสูง เมื่อเขามองออกไปก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกขามนุษย์ท่วมทับ น่ากลัวเหลือเกิน!
ฉินเหยาอุ้มซานหลางไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง อุ้มซื่อเหนียงไว้ในแขนอีกข้าง แล้วมองต้นไม้ใหญ่แข็งแรงตรงหน้าพลันนึกถึงนิสัยไม่น่าเชื่อถือของหลิวจี้จึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้พวกเราปีนต้นไม้หรอกใช่ไหม”
ทันทีที่นางถามจบ หลิวจี้ก็เผยสีหน้าดีใจสุดขีดราวกับว่า ‘เจ้ารู้ใจข้า’ พลางตอบรับทันที
“เจ้านี่ช่างอัจฉริยะจริงๆ!”
ฉินเหยามองขึ้นไปยังกิ่งไม้เหนือศีรษะ กิ่งที่ใกล้ที่สุดอยู่สูงจากพื้นดินกว่าสี่เมตร คนทั่วไปคงปีนขึ้นไปไม่ได้
แต่สำหรับนางแล้วสามารถทำได้สบายมาก
“กลัวความสูงหรือไม่” ฉินเหยาถามคู่แฝดที่เด็กที่สุดในอ้อมแขน
สองพี่น้องกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่กลัว!”
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นไปกันเถอะ!” ทันทีที่ฉินเหยากล่าวจบ นางก็เหวี่ยงมือขึ้นไปทั้งสองข้าง ในขณะที่หลิวลี่และต้าจ้วงสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ ซานหลางและซื่อเหนียงก็ตกลงไปนั่งอยู่ตรงกลางง่ามไม้อย่างมั่นคง
MANGA DISCUSSION