ตอนที่ 231 ปล่อยว่าว
………………..
ตราบใดที่ไม่คิดโลภในผลประโยชน์เล็กน้อย โดยทั่วไปก็จะไม่ถูกหลอกลวง
ก่อนออกจากประตู ฉินเหยาดึงหูหลิวจี้ เตือนเขาว่าอย่าซ่อนเงินเก็บส่วนตัว มิเช่นนั้นหากภายหน้าทำเสียเรื่อง นางจะบีบคอเขาให้ตาย
หลิวจี้เบิกตากว้างอย่างตกใจ นางรู้ได้อย่างไรว่าเขามีเงินซ่อนไว้ เป็นไปไม่ได้!
ทว่าความจริงคือทุกการกระทำของเขามิอาจรอดพ้นสายตาของฉินเหยาไปได้ ความแตกต่างมีเพียงนางอยากจะใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ ปล่อยผ่านไปบ้างก็เท่านั้น
เมื่อถูกทำให้ตกใจเช่นนี้ หลิวจี้ไหนเลยจะกล้าทำตามอำเภอใจอีกต่อไป เขาจึงไปหาตัวแทนที่น่าเชื่อถืออย่างซื่อตรง และนัดหมายกันว่าจะนำพวกเขาทั้งหมดไปดำเนินการตามขั้นตอนในเช้าวันรุ่งขึ้น
“ผู้คนในเมืองหลวงของมณฑลนี้ดีจริงๆ” ทันทีที่กลับถึงโรงเตี๊ยม หลิวจี้ก็ยิ้มแย้มพูดกับแม่ลูกทั้งห้าว่า
“ตัวแทนผู้นั้นพาพวกเราไปดูสถานที่ก่อนด้วยตนเอง จากนั้นถึงวางใจมอบหมายให้พวกเขาดำเนินการ หลักฐานการเข้าร่วมสอบเมื่อพวกเขาจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะนำมาส่งให้พวกเราที่โรงเตี๊ยมด้วยตนเอง โดยที่ข้าไม่ต้องกังวลใจแม้แต่น้อย”
สุดท้ายยังกล่าวอย่างภาคภูมิใจอีกประโยคหนึ่งว่า “เงินช่างใช้ได้ดีจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ฉินเหยาเหยียดยิ้ม “เงินที่ข้าหามาได้ จะใช้ได้ไม่ดีได้อย่างไร”
หลิวจี้รีบตอบ “ใช่ ใช่ ใช่” จากนั้นหันไปชกอากาศสองครั้งราวกับระบายอารมณ์
“คืนนี้กินอะไร” ฉินเหยาถาม
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้กว้างขวางนัก ครอบครัวหกคนยังคงต้องพักในห้องเดียว โชคดีที่เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นคนใจกว้าง อนุญาตให้พวกนางปูที่นอนกับพื้นในห้องพักได้ แถมยังให้เด็กรับใช้ยกผ้าห่มบางๆ มาให้อีกผืน
แน่นอนว่าค่าห้องพักต่อวันก็แพงขึ้นยี่สิบเหวิน
ทว่าฉินเหยาวางแผนที่จะพักระยะยาว พวกนางต้องรอจนกว่าผลสอบฝู่ซื่อจะออกจึงจะจากไป อย่างน้อยต้องพักถึงสิ้นเดือน ดังนั้นจึงต่อรองราคากับเจ้าของโรงเตี๊ยม เหมาจ่ายถึงสิ้นเดือนไปเลย ค่าห้องพักทั้งหมดจ่ายไปสามตำลึง
ทันทีที่จ่ายค่าห้องพัก ฉินเหยาเองก็รู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา
เดิมทีนางตั้งใจจะมาหาบ้านเช่าระยะสั้นที่นี่ แต่เมื่อสอบถามดูก็ทราบว่าหาบ้านเช่าได้ยาก
ส่วนที่เหลือนั้นฉินเหยาขี้เกียจแม้แต่จะมอง สู้พักที่โรงเตี๊ยมยังดีเสียกว่า อย่างน้อยที่นี่ความปลอดภัยยังพอรับประกันได้
บริเวณรอบโรงเตี๊ยมเป็นบ้านเรือนของผู้มีฐานะดีในเมือง หากออกไปข้างนอกบ้าง เด็กๆ อยู่ในโรงเตี๊ยมก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีบุคคลไม่พึงประสงค์บุกรุกเข้ามา
แพงก็แพงหน่อย แต่เงินส่วนนี้ประหยัดไม่ได้
เงินเจ็ดตำลึงที่ยึดมาจากพวกโจร ตอนนี้เหลือเพียงสามตำลึง ครอบครัวหกคน แถมฉินเหยาเองก็กินจุ หากจะใช้จนถึงสิ้นเดือนคงกระเบียดกระเสียร เว้นเสียแต่จะทำอาหารกินเอง
ดังนั้นจึงเช่าเตาขนาดเล็กในครัวของโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ตั้งใจจะซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกินเอง
ด้านนอกฟ้ามืดสนิทแล้ว เนื่องจากถนนสายนี้ส่วนใหญ่เป็นโรงเตี๊ยม แสงไฟจึงสว่างไสว คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
หลิวจี้แอบมองออกไปข้างนอกหลายครั้ง เห็นผู้คนสามคนห้าคนจับกลุ่มดื่มสุรา แต่งบทกวี สนทนาเรื่องศิลป์และความงาม ในใจก็รู้สึกคันยุบยิบ
น่าเสียดาย เมื่อถูกฉินเหยาถามเช่นนี้ เพียงแค่เรื่องความเป็นจริงในชีวิตประจำวันก็ทำเอาความฝันหอมหวานเหล่านั้นพังครืนไม่เหลือซาก
“เฮ้อ~” หลิวจี้ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าไปดูในครัวก่อนว่ามีอะไรบ้าง วันนี้มันดึกแล้ว กินอะไรก็ได้พอประทังหิวไปก่อน สักพักข้าจะไปสอบถามว่าตลาดสดอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้เช้าซื้อผักแล้วพวกเราค่อยกินอะไรดีๆ กัน”
กล่าวจบก็ยื่นมือไปขอเงินจากฉินเหยาอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉินเหยามอบเงินให้เขาหนึ่งตำลึง
หนึ่งตำลึง! หลิวจี้รู้สึกประหลาดใจและดีใจจนแทบไม่เชื่อ แต่เมื่อมือแตะต้องเงิน เขาก็รีบคว้ามันแล้วยัดใส่ในอกเสื้อทันที สุดท้ายก็ยิ้มประจบประแจงให้นางเล็กน้อย แล้วเดินไปยังห้องครัวด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
เอ้อร์หลางถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่ ท่านให้เงินท่านพ่อมากมายเช่นนี้ทำไมหรือ”
“นี่เรียกว่าปล่อยว่าว” ฉินเหยานั่งลงรินน้ำชาให้ตนเอง โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีน้ำชาบริการโดยไม่คิดเงินตลอดวัน แม้จะไม่ใช่น้ำชาชั้นเลิศ แต่ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ การได้ดื่มน้ำชาเย็นๆ สักจิบก็ชื่นใจไม่น้อย
เอ้อร์หลางเกาหัวด้วยความงุนงง “ปล่อยว่าวคืออะไรหรือ”
ฉินเหยาตบที่เก้าอี้ข้างๆ เรียกเอ้อร์หลางให้นั่งลงแล้วอธิบายว่า “ท่านพ่อของเจ้าก็เหมือนว่าว หากลมแรงแล้วใช้กำลังดึงรั้ง อาจจะทำให้สายป่านขาดและหลุดจากการควบคุม การผ่อนสายป่านให้เหมาะสม ทุกสิ่งก็จะยังอยู่ในการควบคุม”
ตอนนี้ในเมืองมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย หลิวจี้มิใช่คนที่มีจิตใจมั่นคง หากควบคุมเขาเข้มงวดเกินไป เกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้ามกลับกลายเป็นสร้างเรื่อง ‘น่าตกใจ’ ให้นางเสียเปล่าๆ
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สู้ปล่อยให้เขามีอิสระในขอบเขตที่กำหนด ให้เขาได้โลดแล่นอยู่ในกรอบนั้นก็พอ
หลังจากฟังคำอธิบายของฉินเหยา เอ้อร์หลางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง แสดงออกว่าได้เรียนรู้อีกสิ่งหนึ่งแล้ว
หลิวจี้นั้นมือเท้าคล่องแคล่วอยู่แล้ว ไม่นานก็ยกเกี๊ยวน้ำหกชามและหมั่นโถวหยาบหนึ่งตะกร้ากลับมา
น้ำแกงเคี่ยวจากกระดูกหมู มีต้นหอมซอยสีเขียวสดลอยอยู่บนผิวน้ำแกง ส่งกลิ่นหอมสดชื่นเย้ายวน
แม้หมั่นโถวจะทำขึ้นจากธัญพืชหยาบ แต่ก็บดละเอียดทั้งยังยังอบใหม่ๆ หอมนุ่มฟู
“ไม่เลวเลย” ฉินเหยากล่าวชม
นางรีบเรียกพวกต้าหลางสี่พี่น้องที่กำลังเขียนบันทึกหลังอ่านบทความที่ยังไม่เสร็จให้มาทานอาหารก่อน ทานให้อิ่มแล้วค่อยทำต่อ
หลิวจี้เห็นฉินเหยากินอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังชมตนเอง เมื่อคิดถึงความคึกคักที่ห้องโถงด้านหน้าจึงลองถามอย่างระมัดระวังว่า
“เมียจ๋า กินอาหารเย็นเสร็จแล้วข้าขอออกไปข้างนอกสักครู่ได้หรือไม่”
ฉินเหยา “ตามสบาย”
หลิวจี้รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที รีบบอกว่าเขาจะเก็บกวาดชามและตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนไป
ทว่าเมื่อเด็กทั้งสี่คนมองมาด้วยสายตาคาดหวัง หลิวจี้ก็รู้สึกกดดันอย่างมาก
สุดท้ายเขาก็ใช้ข้ออ้างว่าพวกเขายังทำการบ้านไม่เสร็จแล้วแอบหนีไปคนเดียว
ซื่อเหนียงโกรธจนกระทืบเท้า “ท่านแม่! ท่านไม่ควบคุมท่านพ่อหน่อยหรือ!”
ฉินเหยาหัวเราะแล้วสัญญาว่าจะพาพวกนางไปเดินเล่นในเมืองวันพรุ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้งและไปเขียนบันทึกหลังการอ่านอย่างมีความสุข
ฉินเหยากำชับสี่พี่น้องให้อยู่ในห้องดีๆ แล้วตนเองก็ไปขอเด็กรับใช้ให้เอาน้ำร้อนสองถังเข้ามามา
เดินทางมาอย่างเหนื่อยล้า ตอนนี้ในที่สุดก็ลงหลักปักฐานได้เสียที ได้ชำระล้างร่างกายให้สะอาดสะอ้าน คืนนี้จะได้นอนหลับสบาย
ขณะที่ห้าแม่ลูกกำลังชำระล้างร่างกายอยู่นั้น หลิวจี้ก็กลับมาอย่างกระตือรือร้น
ปฏิกิริยาแรกของซื่อเหนียงคือถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านพ่อ ท่านเล่นจนพอแล้วหรือ”
หลิวจี้ลูบแก้มลูกสาวที่กำลังทำปากยื่น “อย่าพูดจาประชดประชันบิดาของเจ้าเลย ข้าจะเล่าเรื่องสนุกให้ฟัง”
เขาเดินวนในห้องเพื่อหาเก้าอี้ ในห้องพักมีเก้าอี้ทั้งหมดสี่ตัว สี่พี่น้องนั่งล้อมวงแช่เท้าอยู่หน้าอ่างล้างเท้า ฉินเหยานั่งอยู่ข้างเตียงกำลังปรับลูกธนู
หลิวจี้ลังเลอยู่สองวินาทีก็ตัดสินใจอุ้มซานหลางออกจากอ่างล้างเท้าไปวางบนเตียง แล้วดึงเก้าอี้มานั่งลงระหว่างเตียงกับอ่างล้างเท้าอย่างตื่นเต้นแล้วกล่าวว่า
“พรุ่งนี้มิใช่วันเทศกาลตวนอู่หรือ ในเมืองมีการแข่งเรือมังกร พวกเราไปกันเถอะ ฟังพวกเขาเล่าว่าสนุกมาก พอถึงกลางคืนยังมีการทายปริศนาโคมไฟ ใครทายถูกก็จะมีรางวัลให้ด้วย”
ซานหลางถูกโยนลงบนเตียง ล้มกลิ้งในผ้าห่มเป็นก้อนกลม กว่าจะคลานออกมาได้ กำลังจะไปฟ้องท่านแม่ด้วยความน้อยใจว่าท่านพ่อรังแกเขา ทว่าก็ได้ยินคำพูดของหลิวจี้เสียก่อน ความสนใจจึงถูกดึงดูดไปในทันที เขาเบิกตากว้างถามด้วยความสงสัยว่า
“แข่งเรือมังกรคืออะไรหรือ”
หลิวจี้อธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ก็คือการแข่งขันพายเรือ ดูว่าใครพายได้เร็วกว่ากัน”
“แล้วมีรางวัลหรือไม่” เอ้อร์หลางถามอย่างตื่นเต้น
หลิวจี้พยักหน้าอย่างตื่นเต้น “แน่นอนสิ รางวัลที่หนึ่งไม่เพียงแต่มีเงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น ยังสามารถขึ้นไปกินเลี้ยงบนชั้นสูงสุดของโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ได้อีกด้วย โรงเตี๊ยมนั้นชื่อหอเติงอวิ๋น ส่วนงานเลี้ยงนั้นเรียกว่าอะไรนะ อ้อ ใช่ๆ เรียกว่าโต๊ะเลี้ยงมังกร!”
………………..
MANGA DISCUSSION