ตอนที่ 215 คนตรงย่อมไม่พูดอ้อมค้อม
………………..
ฉินเหยาต้มน้ำอุ่นหนึ่งกะละมัง จับมือเล็กๆ ของคู่แฝดจุ่มลงไปล้างให้สะอาด แล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มกินอาหาร
ซานหลางยังดูเสียดายอยู่มากนัก ระหว่างกินข้าวจึงหันกลับไปดูอ่างน้ำโคลนที่ประตูห้องครัวอยู่เนืองๆ คิดในใจว่าควรฉวยโอกาสตอนท่านแม่ไม่ทันสังเกต ปั้นเกี๊ยวและซาลาเปาโคลนขึ้นมาใหม่ดีหรือไม่
ทว่าเพียงความคิดอันตรายนั้นผุดขึ้นมา ฉินเหยาก็ส่งสายตาคมดั่งมีดเฉือนมาให้ทันที ซานหลางรีบเบือนหน้ากลับมาตั้งใจเคี้ยวข้าวอย่างเต็มคำ
ระยะนี้ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างลดอาหารลงมาก ข้าวธัญพืชหยาบวันละสองมื้อถูกเปลี่ยนเป็นโจ๊กธัญพืชหยาบ ผักป่าที่ขึ้นตามคันนาเพิ่งจะงอกก็ถูกตัดทิ้ง ต้องพึ่งพาผักล้วนๆ เพื่อทดแทนการขาดแคลนเสบียงอาหาร
เมื่อก่อนก็เคยผ่านช่วงเวลาเช่นนี้มาแล้วจึงมิได้รู้สึกว่าลำบากเกินไปนัก อย่างไรเสีย ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ลำบากยากเข็ญกว่าชาวหมู่บ้านตระกูลหลิว
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความประหยัดมัธยัสถ์เช่นนี้ ครอบครัวของฉินเหยากลับยังคงรักษานิสัยเดิมคือมีเนื้อสัตว์ทุกสามถึงห้าวัน มื้ออาหารทั้งสามในแต่ละวันก็ยังคงเป็นข้าวขาวหุงสุกหรือไม่ก็โจ๊กข้าวฟ่าง
หรือไม่ก็ใช้แป้งสาลีที่บดละเอียดทำแป้งทอด เกี๊ยว และหมั่นโถวอันโอชะ
แม้ว่าฉินเหยาจะมีฝีมือทำครัวไม่เลิศล้ำ แต่เมื่อทำบ่อยเข้า อาหารธรรมดาทั่วไปเหล่านี้ก็ยังพอรับประทานได้
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุดิบที่ใช้นั้นล้วนเป็นของดีเลิศ พวกต้าหลางสี่พี่น้องจึงกินข้าวคนละชามโต อิ่มอร่อยจนหอมติดปากไปหมด
เมื่อมื้อเย็นสิ้นสุดลงก็ถึงเวรของต้าหลางและซื่อเหนียง สองคนผลัดเปลี่ยนกันทำงานบ้าน รีบลุกขึ้นเก็บจานชามและตะเกียบโดยไม่ต้องให้ใครสั่ง
ฉินเหยาลูบท้องที่ป่องออกมา กำลังจะเอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อพักผ่อนก็มีคนมาเยือน
“ท่านปู่ฝู!”
ต้าหลางและซื่อเหนียงที่กำลังล้างชามอยู่ในลานบ้าน จำผู้มาเยือนได้ก่อนใครจึงเอ่ยทักทาย
หลิวต้าฝูรับคำเสียงเบา พลางยิ้มให้สองพี่น้อง ก่อนจะมองไปยังเรือนใหญ่ “ฉินเหนียงจื่อ เพิ่งกินข้าวเสร็จรึ”
ฉินเหยาลุกขึ้นมาต้อนรับ ถามเขาว่ากินข้าวมาแล้วหรือยัง
“ฉินเหนียงจื่อ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ข้ามิได้กระหายน้ำ เจ้ารีบนั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับเจ้า”
ฉินเหยายังคงรินน้ำให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงตรงข้ามกับหลิวต้าฝู ส่งสัญญาณให้เขาพูด
หลิวต้าฝูจิบน้ำเพียงเล็กน้อยเป็นพิธีแล้วถามอย่างลองเชิงว่า “เจ้ายังต้องการซื้อที่ดินอยู่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า แต่ในใจกลับคลางแคลงเล็กน้อย “มีอะไรหรือ ท่านคิดจะขายแล้วหรือ”
หลิวต้าฝูถอนหายใจ “เฮ้อ” มิได้ตอบคำถามของฉินเหยาโดยตรง แต่ใบหน้าดูกังวล เขากล่าวเนิบช้าว่า
“อยู่ดีๆ ก็เกิดภัยจากแมลง ทำให้ชีวิตของทุกคนยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ มองดูภายนอกค่อยๆ โกลาหลขึ้น หากถึงเดือนห้าก็ตรงกับการสอบฝู่ซื่อแล้ว มิใช่ว่าชนกันพอดีเลยรึ”
“การสอบเข้ารับราชการนั้นสำคัญยิ่งนัก เกี่ยวพันกับทั้งชีวิต หากเกิดข้อผิดพลาดใดๆ จนทำให้การสอบล่าช้า เช่นนั้นทั้งชีวิตนี้ก็จบสิ้นแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ หลิวต้าฝูก็ถอนใจอีกครั้ง สีหน้ากังวลอย่างยิ่ง
มุมปากของฉินเหยายกขึ้นเล็กน้อยแต่แล้วก็กดมันลงไป ที่แท้เขาก็มาหาผู้คุ้มกันให้กับบุตรชายนี่เอง
แต่หากเป็นการแลกเปลี่ยนกับที่ดิน ข้อเสนอนี้ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่
คิดดูแล้วหลิวต้าฝูก็คงรู้ดี ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังมิได้ดีถึงขั้นที่จะสามารถเกลี้ยกล่อมให้นางช่วยเหลือได้เพียงปากเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อปลายปีที่แล้วตอนที่นางอยากซื้อที่ดิน เขาก็มิได้เห็นแก่หน้านางแม้แต่น้อย ไม่ยอมขายให้เลย
ฉินเหยาจำได้ดีว่า ตอนนั้นนางถึงกับไปขอให้หัวหน้าตระกูลช่วยเป็นคนกลางให้ด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจรจาซื้อขายกัน
สายตาของฉินเหยาสบประสานกับหลิวต้าฝูเพียงสองวินาที ก่อนจะเมินความคาดหวังในดวงตาของเขา หันไปมองต้าหลางและซื่อเหนียงที่กำลังล้างชามอยู่ในลานบ้าน ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้างนอกวุ่นวายแล้วหรือ”
หลิวต้าฝูพยักหน้ารัว “วุ่นวายแล้ว การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิยังไม่ทันเสร็จสิ้น ก็มีคนขอทานอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งหมู่บ้านพากันออกมาก็มี”
ครอบครัวของเขามิได้ทำการค้าอันใด อาศัยเพียงผลผลิตจากไร่นาดำรงชีพ บางครั้งจึงมีเข้าเมืองไปส่งผักผลไม้ตามฤดูกาลให้กับโรงเตี๊ยมต่างๆ
สุดท้ายจำต้องสละขนมหนึ่งห่อที่เตรียมจะนำกลับบ้านไปให้ลูกๆ กิน ถึงสามารถหลุดพ้นมาได้
เมื่อกลับถึงบ้านและเล่าเรื่องให้ครอบครัวฟัง หลิวต้าฝูก็พลันนึกถึงบุตรชายคนรองหลิวลี่ ที่เดือนห้าจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงของมณฑลเพื่อเข้าสอบใหญ่ขึ้นมา
หากระหว่างเดินทางไปสอบเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาเป็นเพียงบัณฑิตคงไม่อาจรับมือกับการตามตื๊อเช่นนี้ได้ มิเป็นการนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่ตัวหรอกหรือ
บัดนี้ขอทานเหล่านี้ยังถือว่าเกรงใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหน่อยก็คงไม่ไว้หน้าใครอีกต่อไป
พวกโจรมาจากไหนกันน่ะหรือ
หลิวต้าฝูมีชีวิตอยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า
ในทันทีนั้นเอง เขาก็นึกถึงการหาผู้คุ้มกันให้หลิวลี่สักคน
พอดีกับที่หลิวจี้ก็ต้องเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงของมณฑลเช่นกัน เช่นนี้ไม่ใช่พอดีหรอกหรือ
หลิวต้าฝูมั่นใจนักว่าฉินเหยาจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงของมณฑลพร้อมกับหลิวจี้ ครานี้พอมีเวลาว่าง เขาจึงรีบมาหาฉินเหยาเพื่อขอให้นางพาหลิวลี่บุตรชายของเขาไปด้วยอีกคน
อย่างไรเสีย การส่งคนหนึ่งคนกับการส่งสองคนก็มิได้แตกต่างกันมากนัก
ด้วยวรยุทธ์ของนางแล้ว ย่อมต้องปลอดภัยแน่นอน!
ฉินเหยาคิดในใจว่า ท่านก็เข้าใจสถานการณ์ดีนี่
คนตรงย่อมไม่พูดอ้อมค้อม ฉินเหยาถามตรงๆ ว่า “ราคาเท่าไหร่”
หลิวต้าฝูตอบว่า “ราคามิตรภาพ”
ฉินเหยาหลุบเปลือกตาลงเล็กน้อย “ตกลงว่าเท่าไรกันแน่”
หลิวต้าฝูเอื้อมมือเข้าไปคลำในอกเสื้อแล้วหยิบโฉนดที่ดินฉบับสมบูรณ์วางลงบนโต๊ะเบาๆ “สิบหมู่ เก้าสิบตำลึง”
ฉินเหยาลิงโลดในใจ รีบยื่นมือออกไปหมายจะหยิบ แต่หลิวต้าฝูกลับกดสัญญาไว้แน่น พลันกล่าวเสริมอย่างเร่งรีบว่า
“เจ้าต้องรับปากก่อนว่าหลิวลี่ของบ้านข้าจะเข้าสู่สนามสอบได้อย่างไม่บุบสลาย และกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
ฉินเหยาค่อยๆ ยกมือเขาออกจากโฉนดที่ดิน ยกแผ่นกระดาษเล็กๆ นี้ขึ้นดูแล้วดูอีก เมื่อยืนยันว่าเป็นของจริงมิได้ปลอมแปลงจึงยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้าทำ ท่านมั่นใจได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน”
ว่าพลาง นางก็คืนโฉนดที่ดินให้แก่เขา “พรุ่งนี้ข้าจะไปส่งลูกๆ ที่สำนักศึกษา พวกเราแวะเข้าไปในอำเภอเพื่อเปลี่ยนชื่อเจ้าของในโฉนดที่ดินเสียเลย”
การซื้อขายที่ดินเดิมทีก็ต้องไปขึ้นทะเบียนที่ทางการอยู่แล้ว หลิวต้าฝูจึงตอบตกลงอย่างฉับไว
ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กันต่างพึงพอใจยิ่งนัก
หลังจากส่งหลิวต้าฝูออกไปแล้ว ฉินเหยาก็ปิดประตูใหญ่ หันกลับมาก็เห็นต้าหลางสี่พี่น้องยืนเรียงตามลำดับความสูงอยู่ตรงหน้านาง
ต้าหลางเอ่ยถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “น้าเหยา ท่านปู่ฝูยอมขายที่ดินให้พวกเราแล้วหรือ”
เอ้อร์หลางยังครุ่นคิดถึงราคาที่เพิ่งได้ยิน “เก้าสิบตำลึงสิบหมู่? หมู่ละแค่เก้าตำลึงเท่านั้นเองหรือ”
ซานหลางและซื่อเหนียงสนใจเพียงเรื่องเดียว พวกเขาขมวดคิ้วเล็กๆ ที่เหมือนกันแล้วถามว่า “ท่านแม่ ท่านจะจากพวกข้าไปนานอีกแล้วหรือ”
ฉินเหยาตอบคำถามสองข้อแรกอย่างละเอียดแล้วยิ้มพลางยักไหล่เบาๆ “ใช่แล้ว ข้าต้องเดินทางไกลแล้ว”
“ท่านพ่อของพวกเจ้าจะต้องไปเข้าสอบใหญ่ที่เมืองหลวงของมณฑล เส้นทางไกลนัก อาจมีภัยอันตราย ข้าจึงต้องไปส่งเขา”
หลิวต้าฝูคาดการณ์ไว้ไม่ผิด นางตั้งใจจะคุ้มกันหลิวจี้ไปยังเมืองหลวงของมณฑลด้วยตนเองจริงๆ
หลิวจี้เปรียบเสมือนหุ้นที่นางลงทุนไปด้วยต้นทุนทั้งหมด ก่อนจะได้ทุนคืนก็ต้องดูแลให้ดี
คู่แฝดรีบเข้ามากอดแขนฉินเหยาคนละข้าง เอ่ยเสียงอ่อยว่าไม่อยากให้นางจากไปนาน
แต่ก็รู้ว่าธุระของท่านพ่อสำคัญยิ่งนัก พอได้รับจูบใหญ่ๆ จากฉินเหยาคนละฟอด พวกเขาก็หายงอแง
ฉินเหยาอุ้มซื่อเหนียงด้วยมือข้างหนึ่ง จูงซานหลางด้วยมืออีกข้างแล้วพาเข้าไปในห้องเด็ก กล่อมให้พวกเขาหลับ
เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนต่างซบไหล่ท่านแม่คนละข้าง ฟังนางเล่านิทานเรื่องเสือกลายพันธุ์ต่อสู้กับดอกไม้ยักษ์กินคนในยามค่ำคืนอย่างเพลิดเพลิน
จนกระทั่งเล่าถึงตอนที่น่ากลัวและนองเลือด ต้าหลางและเอ้อร์หลางที่แอบฟังอยู่ใกล้ๆ ก็ตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้าง
นอนไม่หลับ นอนไม่หลับเลยจริงๆ!
MANGA DISCUSSION