ตอนที่ 213 ความฉลาดกลับกลายเป็นภัยแก่ตนเอง
………………..
ตระกูลหลิวฝั่งเรือนเก่าได้รับส่วนแบ่งหนึ่งพันจิน ค่าขนส่งเหล่านี้ฉินเหยาไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
หลิวเหล่าฮั่นและนางจางต่างรู้สึกซาบซึ้ง มิได้เร่งรีบที่จะคิดคำนวณค่าใช้จ่ายให้แน่ชัด ภายหน้าพวกเขาเองก็ช่วยเหลืออีกฝ่ายมากๆ ก็พอแล้ว เรื่องน้ำใจไมตรีเหล่านี้แต่ไรมาล้วนมิอาจคำนวณให้ชัดเจนได้
ในเมือง ข้าวสาลีติดเปลือกขายในราคาสิบสองเหวินต่อหนึ่งจิน เงินสามตำลึงสามารถซื้อข้าวได้หนึ่งพันจิน คนในเรือนเก่าล้วนพากันปลาบปลื้มยินดี
นางเหอและนางชิวรีบจัดแจงห้องครึ่งหนึ่งในบ้านเพื่อเก็บข้าวเหล่านี้
แต่ข้าวสารหนึ่งหมื่นจินของฉินเหยานั้นกลับไม่มีที่ใดให้เก็บได้
ตอนนี้จึงต้องพยายามยัดเข้าไปในห้องนอนของพวกนางเองก่อน เมื่อถึงคราวไถหว่านในฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยสร้างยุ้งฉางเพิ่มอีกหลัง
เรื่องนี้หลิวไป่และหลิวจ้งตบอกให้คำมั่นกับฉินเหยา รับประกันว่าพวกเขาจะจัดการให้เองทั้งหมด
พวกเขากำชับเป็นพิเศษว่าไม่ต้องให้ฉินเหยาจัดเตรียมอาหารให้ เพียงแค่ให้เนื้อพวกเขาสักหน่อยก็พอ ที่เหลือพวกเขาจะนำกลับไปทำกินเอง
ฉินเหยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในใจ พลางคิดว่า พวกเจ้ารังเกียจข้าเสียชัดเจนเชียว
ครั้นถึงยามเย็น ทั้งสองครอบครัวร่วมกันกินอาหารเย็นแสนอุดมสมบูรณ์ที่หลิวจี้ทำไว้ที่บ้านฉินเหยา จากนั้นจึงหัวเราะร่าแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านตน
ฉินเหยาส่งคนจากเรือนเก่าออกประตูไป มองส่งพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนจะลงกลอนประตูใหญ่แล้วเดินวนดูห้องต่างๆ ในบ้านของตน
เมื่อมองเห็นถุงกระสอบข้าวที่กองสุมกันอยู่ในห้อง ฉินเหยาก็ถอนหายใจเบาๆ ลูบอกด้วยความสบายใจและโล่งอกยิ่งนัก
“เมียจ๋า?”
หลิวจี้ยืนอยู่นอกประตูเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงแผ่วต่ำ
ฉินเหยาถอยออกจากห้องแล้วทำมือให้เขาเดินตามมา ทั้งสองมาถึงห้องโถง
พอได้นั่งลง หลิวจี้ก็ยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายมาให้ เขานำบัญชีออกมากางบนโต๊ะแล้วอธิบายให้นางฟังทีละรายการ
สองตำลึงสำหรับค่าเดินทาง ออกจากบ้านหกคืน ใช้จ่ายค่าที่พักไปหกร้อยเหวิน จ่ายค่าอาหารสี่ร้อยเหวิน ค่าขนมสองห่อหนึ่งร้อยยี่สิบเหวิน ค่าติดสินบนเพื่อสืบข่าวแปดร้อยห้าสิบเหวิน คงเหลือสามสิบเหวิน
หลังจากอธิบายจบ หลิวจี้ก็หยิบถุงเงินออกมาวางไว้ตรงหน้าฉินเหยา เทออกมานับ ได้เหรียญสามสิบเหรียญพอดิบพอดี
ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะไปสอบถามหลิวเฝยก็ยากที่จะหาข้อผิดพลาดได้
ฉินเหยาหยิบสามสิบเหวินที่เหลือขึ้นมาชั่งน้ำหนักในมือ มองหลิวจี้ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มจนเขารู้สึกเย็นสันหลังวาบ เหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นที่หน้าผาก นางจึงกล่าวว่า
“เงินค่ากินอยู่ของเดือนสามและเดือนสี่เจ้าจัดการเอาเองนะ อย่าถามว่าทำไม เพราะเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”
ค่าที่พักตั้งหกร้อยเหวิน?
ระหว่างทางมีโรงเตี๊ยมระดับสูงกี่แห่งกันที่จะให้เขาใช้จ่ายได้เพียงนี้
ขนมเพียงสองห่อ ต้องเสียตั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเหวิน?
นางดูแล้วอย่างไรก็ไม่เกินสี่สิบเหวิน!
ส่วนค่าติดสินบนเพื่อสืบข่าวยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดจนนางไม่อยากจะเปิดโปง
ตอนที่เงินถูกจ่ายออกไปนั้น ฉินเหยาก็ได้รวมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ในงบประมาณเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเมื่อได้เห็นบัญชีเล่มนี้ นางจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด
นางหากเดาไม่ผิด เงินที่หลิวจี้แอบเก็บเอาไว้คงมีอยู่แปดเก้าร้อยเหวิน
ค่าใช้จ่ายรายเดือนของเขาในสำนักศึกษา รวมค่ากระดาษด้วยแล้วประมาณสามร้อยเหวิน นางคิดให้แค่สองเดือน ส่วนที่เหลือก็ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยของเขา
ค่าเหนื่อยถึงสามร้อยเหวินเต็มๆ ไม่มีใครใจกว้างไปกว่านางอีกแล้ว
“นอนได้แล้ว” ฉินเหยาลุกขึ้น ยื่นบัญชีให้เขา ก่อนจะหยิบสามสิบเหวินที่เหลือออกไป พลางหาวแล้วเดินกลับห้องไปนอน
ทิ้งให้หลิวจี้นั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งเล็กในโถงบ้าน ในใจครุ่นคิดสับสน เขากำหมัดแน่น ความฉลาดกลับกลายเป็นภัยต่อตนเอง เกือบจะทำให้ตนเองโมโหจนเป็นลมไป
รู้แต่แรกไม่น่าคืนสามสิบเหวินนั้นไปเลย!
อาศัยอะไรกัน!!!
ดูเหมือนแม้แต่ไก่ในลานบ้านยังสัมผัสได้ถึงไอความแค้นสีดำทะมึนที่ปกคลุมห้องโถง เสียงร้องกุ๊กกุ๊กของมันแผ่วลงราวกับกลัวว่าหากส่งเสียงดังเกินไป จะซวยถูกจับไปฆ่ากินในวันพรุ่งนี้
ต้าหลางจูงน้องชายและน้องสาวออกมาจากห้องอาบน้ำ เมื่อเดินผ่านห้องโถงก็ย่องเบาๆ พากันเข้าไปในห้องทีละคนแล้วค่อยๆ ปิดประตูลง สกัดกั้นไอแค้นที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า แล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียงกัน
หลิวจี้แค่นเสียงแล้วลุกขึ้นยืน เป่าไฟในตะเกียงน้ำมันจนดับ ก่อนจะกระแทกประตูโถงบ้านปิดเสียงดังปัง!
แต่เสียงนั้นกลับดังเกินไปจนทำให้คนในห้องนอนหลักรู้สึกตัว เงาคนพลันขยับไหวเล็กน้อย หลิวจี้จึงรีบวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว ปิดประตูที่เพิ่งกระแทกกันจนเปิดออกลงอย่างเบามือ
ฉินเหยาได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน กว่าจะเงียบลงก็ปาเข้าไปครึ่งเค่อ นางยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ ก่อนจะยกมือโบกลมดับตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ ห่มผ้าผืนบาง แล้วหลับใหลอย่างมีความสุข
สายฝนในเดือนสามโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย บางครั้งตกติดต่อกันหลายวันจนท้องฟ้ามืดครึ้มตลอดเวลา
แต่ตอนนี้เมื่อมีเสบียงกักตุนไว้แล้ว ฉินเหยาจึงวางใจเตรียมการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิได้
หลิวจี้กลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว เพราะการสอบฝู่ซื่อในเดือนห้าต้องลงทะเบียนล่วงหน้า ต้องเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ เวลาที่เหลือยังต้องศึกษาเล่าเรียน ตารางเวลาจึงแน่นขนัด
แม้จะรู้ว่าไปเพียงเพื่อหาประสบการณ์ แต่อย่างไรก็เป็นการสอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการ หลิวจี้มีความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย หากโชคเข้าข้างสอบได้อีกเล่า
ความคิดของเขาช่างงดงามนัก ทว่าด้วยความมั่นใจอย่างประหลาดนี้เอง กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จนกลายเป็นนักเรียนที่ขยันที่สุดในสถานศึกษาอีกครั้ง ทำเอาฝานซิ่วไฉและคนอื่นๆ แทบกัดฟันด้วยความหมั่นไส้
ยิ่งเห็นหลิวจี้มุมานะถึงเพียงนี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มรู้สึกไปเองว่าบางทีเขาอาจจะสอบผ่านจริงๆ ก็ได้
เด็กๆ ในบ้านต่างก็ไปศึกษาเล่าเรียนกันหมด ภาระไถหว่านในปีนี้จึงตกอยู่กับฉินเหยาเพียงผู้เดียว
โชคดีที่นางซื้อวัวไว้ อีกทั้งที่ดินก็ไม่มากนัก ใช้เวลาเพียงสองวันครึ่งก็ไถนาเสร็จเรียบร้อย
ครั้งนี้ฉินเหยาขังน้ำไว้ในแปลงนาเพียงแปดหมู่ ส่วนอีกสองหมู่ปล่อยให้แห้ง
สองวันก่อนขณะที่นางคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ก็พลิกเจอน้ำเต้าลูกหนึ่ง เมื่อเปิดดูด้านในเต็มไปด้วยเมล็ดแตงโม นางจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อปีก่อนระหว่างทางเคยช่วยเหลือขบวนคุ้มกันสินค้าขบวนหนึ่งเอาไว้ หัวหน้าขบวนจึงมอบเมล็ดนี้เอาไว้ให้
หากกินเองไม่หมด ส่วนที่เหลืออาจจะนำไปขายทำเงินได้
อย่างไรเสียของหายากก็ย่อมมีค่า ทั่วทั้งอำเภอไคหยางก็ยังไม่เคยมีใครขายแตงโมมาก่อน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพันธุ์แตงโมในเวลานี้จะดีหรือไม่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง
พอฉินเหยาไถนาเสร็จ วัวก็ถูกหลิวไป่ยืมไปทันที
คนรอบข้างมองดูแล้วก็ทั้งอิจฉาและริษยา ต่างคิดในใจว่าเหตุใดตนเองจึงไม่มีพี่น้องที่เก่งกาจเช่นนี้บ้าง
ดูคู่สามีภรรยาบ้านเจ้าหลิวสามผู้นั้นสิ คนหนึ่งกลับตัวกลับใจหันมาศึกษาเล่าเรียน ส่วนอีกคนหาเงินเก่ง ปราบโจรผู้ร้ายก็ไร้เทียมทาน
เรือนเก่าของตระกูลหลิวที่อยู่ติดกับสองสามีภรรยานั้น ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ยังมีวัวให้ใช้งานอีกด้วย
การใช้วัวของพี่น้องในตระกูลตนเอง กับการใช้วัวของผู้ใหญ่บ้านนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะฝั่งของฉินเหยาไถนาเสร็จก่อนจึงไม่ต้องรีบนำวัวไปคืน และไม่ต้องทำงานเร่งรีบตั้งแต่เช้ายันค่ำ
เช่นนี้วัวจึงสามารถรักษาเรี่ยวแรงไว้ได้บ้าง ส่วนคนก็ได้พักผ่อนเช่นกัน
ฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว เมื่อต้าหลาง จินเป่ากับคนอื่นๆ กลับมาจากโรงเรียน หากฟ้ายังไม่มืดนัก พวกเขาก็จะหยิบเคียว จูงวัวแก่แล้วพามันขึ้นเขาไปกินหญ้า
ระหว่างนั้นก็เกี่ยวหญ้ากลับมากหน่อยเพื่อกักตุนไว้แล้วค่อยๆ เติมให้วัวกินทีละนิด ไม่อยากให้มันเหนื่อยเกินไปนัก
ซื่อเหนียงกับซานหลางกอดตำราและสมุดแบบฝึกหัดเปล่าที่ทำขึ้นเอง คอยจับจินฮวามาสอนนางอ่านหนังสือ
จินฮวานั้นคุ้นชินกับการเที่ยวเล่นสนุก อีกทั้งไม่ได้ไปสำนักศึกษา กลางวันนางจึงใช้เวลาครึ่งหนึ่งเรียนการทอผ้าและเรียนศาสตร์งานเย็บปักถักร้อยของสตรีจากผู้เป็นแม่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ช่วยทำงานบ้าน จากนั้นจึงออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ทำให้ยากที่จะอดทนอยู่เฉยๆ ได้
………………..
MANGA DISCUSSION