ตอนที่ 209 เตรียมสะสมเสบียง
………………..
ฉินเหยาใช้ฝ่ามือลูบสีแดงบนใบหน้าอย่างลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปตรวจสอบข้าวสาลีที่ตากแดดไว้ตลอดหลายวันมานี้
ในส่วนของค่าเช่า ทางบ้านหลิวต้าฝูได้ให้คนมาขนไปแล้ว เหลือข้าวสาลีอีกกว่าหนึ่งพันหนึ่งร้อยจินที่ยังไม่ได้สีเปลือก บางส่วนถูกเก็บไว้ในถังข้าวเปลือก อีกบางส่วนบรรจุอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่
ฟางข้าวที่เหลือถูกกองทิ้งไว้บนลานหน้าประตู ต้าหลางที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จเดินเข้ามาหาฉินเหยาแล้วกล่าวว่า
“ผู้ใหญ่บ้านบอกให้เอาฟางข้าวทั้งหมดของปีนี้ไปเผาที่ทุ่งนา ทุกบ้านห้ามเก็บเอาไว้ นี่เป็นคำสั่งของใต้เท้านายอำเภอ ท่านยังบอกให้ทุกคนอย่ากังวลเรื่องแมลงศัตรูพืช เพียงแค่ทำการไถหว่านในฤดูใบไม้ผลิให้แล้วเสร็จ ทุกอย่างทางการจะเป็นผู้ดูแลเอง”
“ใต้เท้านายอำเภอหรือ” ฉินเหยารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ต้าหลางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้านออกเดินทางไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่เมื่อวาน ข้าได้ยินมาว่า ใต้เท้านายอำเภอทราบเรื่องแมลงศัตรูพืชแล้วจึงเดินทางมาตรวจสอบความเป็นอยู่ของราษฎร หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็กลับมาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง”
การกระทำนี้ ทำให้ชาวบ้านใต้เขตปกครองของอำเภอไคหยางคลายความกังวลเรื่องแมลงศัตรูพืชไปได้มาก จนสามารถตั้งใจทำการหว่านไถรับฤดูใบไม้ผลิได้อย่างสงบใจ
หลิวจี้ต้มน้ำร้อนเสร็จแล้วก็ตะโกนเรียกทุกคนให้ไปตักน้ำมาล้างหน้าและล้างเท้าที่ห้องครัว
ต้าหลางขานรับแล้วหันไปถามฉินเหยาที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “น้าเหยาขอรับ คำพูดของใต้เท้านายอำเภอเป็นความจริงหรือไม่ พวกเราจะไม่ต้องกังวลแล้วใช่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้ารับเบาๆ พลางตบไหล่ของเด็กหนุ่ม “ไปล้างหน้าเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปสำนักศึกษาอีกนะ”
ต้าหลางได้ยินคำตอบของนางก็รู้สึกเบาใจลงมาก จึงเรียกน้องชายและน้องสาวที่กำลังเล่นซนให้ไปล้างหน้าแล้วกลับเข้าห้องนอน
ก่อนนอนฉินเหยาและหลิวจี้นั่งตรวจการบ้านให้เด็กทั้งสี่คน โดยแบ่งหน้าที่กันคนละสองคน
เป็นครั้งแรกที่หลิวจี้ได้สัมผัสถึงความพังทลายจากการสอนการบ้านเด็กๆ เพราะเขาพบว่า แม้แต่เด็กเพียงคนเดียวเขาก็ยังสู้ไม่ได้!
เอ้อร์หลางถามท่านพ่อเสร็จแล้วก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ ข้ากับซื่อเหนียงถามปัญหาท่าน ท่านก็ตอบไม่ได้ แสดงว่าพวกเราฉลาดกว่าท่านใช่หรือไม่ เช่นนี้พวกเราก็น่าจะสอบผ่านการสอบรอบแรกได้เหมือนกันใช่หรือไม่”
หลิวจี้ถลึงตาใส่ “ฝันไปเถิด! เจ้าคิดว่าการสอบรอบแรกจะผ่านได้ง่ายๆ เพียงนั้นหรือไร”
พูดจบก็เตรียมจะคลี่กระดาษออกเพื่อให้หลิวจี้คัดลอกหัวข้อการสอบออกมา เขาต้องการทำข้อสอบจำลองดูว่าแท้จริงแล้วมันยากเพียงใดกันแน่
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ” หลิวจี้ถามด้วยความตกตะลึง
เอ้อร์หลางส่ายหน้า แถมยังกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด!”
พูดพลางก็ฝนหมึกจนพร้อม หยิบพู่กันส่งให้หลิวจี้ด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มเปี่ยม รอให้เขาลงมือเขียนหัวข้อการสอบ
หลิวจี้อ้าปากค้าง กำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อหลบหนี ฉินเหยาก็หันมามองด้วยความสงสัยพอดี
หลิวจี้กล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้มันดึกเกินไปแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเขียนดีหรือไม่ การเขียนหนังสือกลางคืนไม่ดีต่อดวงตานะ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ซื่อเหนียงก็ประคองเชิงเทียนเดินเข้ามา วางลงบนโต๊ะหนังสืออย่างมั่นคง ยิ้มหวานให้หลิวจี้พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าจะคอยถือโคมไฟให้ท่านเอง”
ฉินเหยากลั้นหัวเราะแล้วพยักเพยิดคางส่งสัญญาณให้หลิวจี้ “เขียนเถิด ข้าก็กำลังคิดจะให้เจ้าคัดลอกหัวข้อการสอบของรอบแรกออกมาให้พวกต้าหลางใช้ทำข้อสอบจำลองพอดี”
หลิวจี้เหลือบมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางนภา หากยังไม่ได้นอน เกรงว่าเขาคงจะสิ้นชีพเสียก่อนน่ะสิ!
ทว่าเมื่อเผชิญกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของห้าแม่ลูก เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนหัวข้อของการสอบรอบแรก
โชคดีที่หัวข้อไม่ได้ยาวเกินไป มีเพียงบทกวีหนึ่งบท บทความสองบท ใช้เวลาสองเค่อก็เขียนเสร็จ
พอเขียนเสร็จ หลิวจี้ก็โยนพู่กันทิ้งพลางหาวหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้น รีบหลบเข้าไปในห้องเล็กๆ ของตนราวกับลี้ภัย มุดหัวเข้าไปนอนทันที
ต้าหลางและฉินเหยามองสบตากัน แม่ลูกทั้งสองคนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ
เอ้อร์หลางยังอยากทำโจทย์ต่ออยู่เลย แต่พอถูกฉินเหยาถลึงตาใส่ พี่น้องไม่กี่คนจึงต้องสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ สงบจิตใจแล้วขึ้นเตียงเข้านอน
ฉินเหยาดับเทียน ปิดประตูห้องให้พวกเขาแล้วกลับมาที่ห้องของตน มองม่านที่สะท้อนแสงสีเขียวจางๆ ท่ามกลางความมืดก็รู้สึกนอนไม่หลับ
คนที่เคยประสบภัยพิบัติมาหลายครั้งย่อมมีนิสัยกักตุนเสบียงติดตัวไม่มากก็น้อย
แต่ครั้งนี้ แมลงระบาดดูเหมือนยังไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงมากนัก นายอำเภอที่มาตรวจนาด้วยตัวเองก็ช่วยให้เหล่าชาวนาเกิดความมั่นใจมากขึ้น แต่ด้วยประสบการณ์หลายปีของนาง อย่างไรก็ต้องกักตุนเสบียงไว้บ้าง
ไม่เพียงแต่ต้องกักตุน นางยังต้องกำชับคนในหมู่บ้านตระกูลหลิวว่าปีนี้อย่าเพิ่งขายข้าวออกไป
หากทำได้ ควรให้หมู่บ้านเป็นฝ่ายจัดซื้อข้าวสารร่วมกัน เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงและกักตุนได้มากขึ้น
ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากแมลงระบาดหนักในหมู่บ้าน ตอนนี้ก็เริ่มไปขอยืมเสบียงจากบ้านที่มีเหลือแล้ว โดยตั้งใจว่าจะคืนพร้อมดอกเบี้ยหลังฤดูเก็บเกี่ยว
ทุกคนล้วนเป็นคนในตระกูลเดียวกันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยแพง ดังนั้นจึงขอยืมกันมากกว่าซื้อขายด้วยเงิน
ฉินเหยาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิวมานาน นางย่อมรู้ดีว่าฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านนี้ แม้ไม่ร่ำรวยเท่าผู้อื่นแต่ก็ไม่ได้ยากจนที่สุด ยังมีหมู่บ้านที่ยากจนกว่านี้อีก
หากแต่ละบ้านต่างกักตุนเสบียงกันเอง เกรงว่าคงจะจัดการได้ยาก เพราะย่อมมีบ้านที่ไม่มีแม้แต่เหวินเดียวให้ใช้จ่าย
ทว่าหากให้ตระกูลเป็นผู้ออกหน้าและดำเนินการ ก็จะสามารถดูแลครอบครัวที่ไม่มีเงินแม้แต่เหวินเดียวได้
ฉินเหยาไม่ได้เกิดจิตเมตตาขึ้นมากะทันหันเพียงแต่นางมาจากวันสิ้นโลก จึงรู้ดีว่าความสามัคคีของชุมชนนั้นสำคัญเพียงใดต่อการป้องกันฐานที่มั่น
หลังจากฤดูไถหว่านผ่านไป ครอบครัวที่มีฐานะยากจนในหมู่บ้านก็จะกินเสบียงที่ยืมมาจนหมด
หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกหมู่บ้านในทุกพื้นที่ เกรงว่าปัญหาความอดอยากคงยากจะแก้ไข
หากทางการสามารถเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์ได้ทันท่วงที ปัญหาก็คงไม่ใหญ่โตนัก
แต่ฉินเหยาไม่กล้าวางใจต่อหน่วยงานของทางการเหล่านี้ นางเชื่อมั่นเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น
เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่ทางการอาจไม่สามารถเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงได้ทัน นางจำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยง
คิดได้ดังนั้น ฉินเหยาจึงยิ่งมั่นใจในแผนการกักตุนเสบียงของตนเองมากขึ้น
เช้าวันต่อมา หลังจากส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษาเสร็จ นางก็รีบไปเรียกหลิวจี้ที่กำลังเผาฟางข้าวสาลีในท้องนา
“จะไปไหนหรือ” หลิวจี้งุนงงเล็กน้อย
ฉินเหยากล่าวว่า “ไปหาผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูล”
หลิวจี้ใจสั่นวาบ รีบถามว่า “ไปหาพวกเขาทำไม” ฟังดูเหมือนมีเรื่องใหญ่อะไรสักอย่าง
ฉินเหยาจึงบอกถึงแผนการกักตุนเสบียงของตน รวมทั้งความไม่ไว้วางใจที่นางมีต่อทางการอย่างสั้นๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวจี้ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที “ก่อนหน้านี้มิใช่เจ้าว่าบอกว่าไม่มีปัญหาหรอกหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า แต่ก็กล่าวเสริมว่า “เตรียมการไว้ล่วงหน้าย่อมดีกว่าต้องมารับมือภายหลัง”
“ตอนนี้ราคาข้าวยังพอซื้อไหว แต่หากช้ากว่านี้เกรงว่าแม้แต่จะซื้อก็ยังซื้อไม่ได้แล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาก็ทำให้หลิวจี้ถึงกับหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่หรอกกระมัง”
ฉินเหยากระตุ้นให้เขาเดินเร็วขึ้น อย่ามัวยืดยาดเชื่องช้า “ถือเสียว่าใช้เงินซื้อความสบายใจเถอะ ได้หรือไม่”
หลิวจี้พยักหน้า “แน่นอนว่าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าจัดการเองก็พอแล้ว จะลากข้าไปด้วยให้เปลืองแรงทำไม ฟางข้าวในนาก็ยังเผาไม่หมดเลย”
ฉินเหยาคิดตามแล้วก็เห็นด้วย “เช่นนั้นเจ้ากลับไปเถอะ ข้าจะไปเอง”
หลิวจี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ “ช่างเถอะ ไปด้วยกัน ข้ายังช่วยเจ้าพูดได้สองสามประโยค ตาเฒ่าสองคนนั่นยังไม่แน่ว่าจะเต็มใจใส่ใจกับเรื่องนี้หรือไม่”
ฉินเหยาตกใจหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง หลิวจี้รู้สึกไม่มั่นใจจึงอุทานขึ้น “อะไรเล่า?!”
“เจ้าหลิวสาม ตั้งแต่เมื่อใดกันถึงที่เจ้ารู้จักคิดอ่านได้ถึงเพียงนี้” ฉินเหยากวาดตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะจุปากอย่างอัศจรรย์ใจ
หลิวจี้ฉีกยิ้มประจบแล้วเอ่ยถาม “เมียจ๋า เจ้ากำลังชมข้าหรือด่าข้ากันแน่”
ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบคำ
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านทว่ากลับพบว่าไม่มีใครอยู่
………………..
MANGA DISCUSSION