ตอนที่ 207 มีชื่อติดอยู่ในอันดับรายชื่อ
………………..
พริบตาเดียวก็มาถึงวันประกาศรายชื่อ
ตั้งแต่เช้าตรู่ ประตูหน้าของจวนที่ว่าการอำเภอก็ถูกฝูงชนที่มารอชมความคึกคักล้อมไว้แน่นขนัดจนไม่มีช่องให้แทรกผ่าน
การสอบรอบแรกครั้งนี้พลิกไปพลิกมาถึงสองตลบ ประชาชนที่ชอบสอดรู้ต่างก็พากันคาดเดาว่า อาจจะมีการสอบรอบที่สามหรือไม่
มีเพียงบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบเท่านั้นที่จิตใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ถึงแม้หลิวจี้จะมั่นใจเกินแปดส่วนว่าตนเองต้องติดอันดับแน่ แต่ก่อนที่ผลสอบจะออกมาอย่างเป็นทางการ หัวใจก็ยังว้าวุ่นอยู่ดี
ส่วนฉินเหยากลับสงบนิ่งกว่ามาก นางยืนอยู่บริเวณรอบนอกสุดของฝูงชน มือถืออาหารเช้าที่กินไปได้เพียงครึ่ง กัดไปพลางมองบัณฑิตที่มาเข้าร่วมสอบรอบตัวไปพลาง
มีไม่น้อยที่สะพายหีบหนังสือพลังเซียนที่ร้านของนางขายออกไป เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าแม้รูปแบบลากจูงจะดูสะดวก ทว่าเมื่อใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ กลับมิอาจสะดวกเท่าการสะพาย
แต่ถึงอย่างนั้น รูปแบบการลากจูงก็เป็นสิ่งที่ควรมีไว้ แม้จะไม้ได้ใช้ก็ตาม
ลองดูคุณชายพวกนั้นที่ให้เด็กรับใช้ข้างกายลากหีบหนังสือให้สิ ตัวหีบถูกแขวนด้วยพู่ห้อยหรือจี้หยกต่างๆ บางคนถึงกับเขียนบทกวีลงบนหีบ หรือไม่ก็วาดลวดลายดอกไม้ นก แมลง ปลา ดูโดดเด่นสะดุดตา
ส่วนคนที่ไม่ได้ซื้อหีบหนังสือไปก็ทำได้เพียงมองด้วยสายตาอิจฉา
หลิวจี้รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยจึงหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความกระวนกระวาย เขาจึงละทิ้งกลุ่มสหายแล้วเบียดออกจากฝูงชนมายืนประจันหน้ากับฉินเหยา พลางยิ้มเอาใจถามว่า
“เมียจ๋า หีบหนังสือพลังเซียนของเจ้า ยังมีเหลือให้ข้าสักใบหรือไม่”
“ไม่มี”
หลิวจี้ “…”
แม้ว่าคำตอบนี้จะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ แต่เมื่อได้ยินสองคำที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้อย่างกะทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กระตุกไปเล็กน้อยเช่นกัน
“ข้าเห็นสหายร่วมชั้นเรียนสองสามคนใช้มันเมื่อวาน โดยเฉพาะฝานซิ่วไฉ ท่าทางอวดดีของเขามันน่ารำคาญมากจริงๆ” หลิวจี้พึมพำเบาๆ
ฉินเหยามองผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่ตัดเย็บอย่างหยาบๆ อย่างประหลาดใจ หลิวจี้กลัวว่านางจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายทันทีว่า “ข้าทำเอง มิใช่ของที่หญิงอื่นที่ให้มาแน่นอน”
ฉินเหยาพยักหน้า “กลับบ้านแล้วพอว่างๆ ก็ฝึกฝนกับพี่สะใภ้รองให้มากขึ้นหน่อย แล้วทำให้ข้าด้วยหนึ่งผืน”
หลิวจี้กลัวว่าสหายร่วมชั้นจะได้ยินจึงรีบทำท่าจุ๊ปากเป็นเชิงบอกให้เงียบและตอบเสียงเบา “แน่นอนๆ แต่เราคุยกันเสียงเบาหน่อยเถิด”
“เจ้าต้องการหีบหนังสือแบบไหนเล่า” ฉินเหยาทิ้งผ้าเช็ดหน้าคืนใส่อกเสื้อเขาแล้วยิ้มถาม
หลิวจี้ดีใจขึ้นมาทันที รีบชี้ไปที่หีบหนังสือที่อยู่ในมือของเด็กรับใช้ข้างกายของฝานซิ่วไฉ “แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว หากมันมีลูกเล่นแปลกๆ เพิ่มขึ้นได้อีกนิดก็คงจะดีมาก”
ฉินเหยาตอบรับอย่างง่ายดาย “ได้ หากวันนี้เจ้าสอบติด ข้าจะให้ช่างไม้หลิวทำให้เจ้าหนึ่งใบ แถมโต๊ะเล็กที่ใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ วาดภาพ และรับประทานอาหารได้ด้วย”
เดิมทีคิดว่าเมื่อพูดเช่นนี้ เขาจะต้องดีใจสุดขีด
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าคนที่เพิ่งข่มความตื่นเต้นไว้ได้ กลับมีท่าทางตื่นตระหนกอีกครั้ง ดวงตาเขาล่อกแล่กพลางเดินวนไปมาอยู่ที่เดิม
“มิใช่ว่าเคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่งหรือ” ฉินเหยาพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ทั้งสุขและทุกข์ก็ล้วนได้ลิ้มรสมาแล้ว ครั้งนี้เพียงทำใจให้เป็นปกติก็พอ”
หลิวจี้ดูราวกับไม่อยากจะเชื่อ ถามหยั่งเชิงว่า “ข้ายังมีโอกาสครั้งต่อไปจริงหรือ”
มุมปากของฉินเหยาโค้งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่หางตาเหลือบเห็นฝูงชนที่จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมา นางก็ฉวยมือหลิวจี้แล้วพุ่งตรงไปยังแถวหน้าสุด
ผลประกาศออกมาแล้ว!
เหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่พากันไล่ฝูงชนให้ถอยห่างจากป้ายประกาศ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็นำแผ่นรายชื่อและน้ำแป้งมาทาเพื่อติดรายชื่อขึ้นไป
“มีชื่อของเจ้า!” สายตาของฉินเหยาเฉียบคม พริบตาก็มองเห็นตัวอักษรชื่อหลิวจี้สองตัวนี้ทันที
นางยังคิดว่าตนเองจะยังคงสงบได้ ทว่ากลับไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
หลิวจี้เพ่งพินิจกว่าสามสี่รอบเพื่อให้แน่ใจว่าสองตัวอักษรสุดท้ายบนรายชื่อคือชื่อของตนเอง จากนั้นเขาก็ตบอกก่อนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ “ครานี้ข้าค่อยวางใจได้เสียที”
น้ำเสียงแสดงความยินดีนั้นแฝงไว้ด้วยความเย้าหยอกอยู่ไม่น้อย แต่หลิวจี้กลับรับไว้ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข เขายกมือขึ้นคำนับเบาๆ “ขอบคุณๆ”
ฝานซิ่วไฉพลันแค่นเสียงเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเด็กรับใช้ข้างกาย ในมือยังถือหีบหนังสือพลังเซียนแสนสะดุดตา
เหตุการณ์เช่นนี้หลิวจี้เคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว ครานี้หลังจากยืนยันเรื่องรายชื่อแล้วจึงสงบลง
กลับเป็นรอยยิ้มสว่างไสวของฉินเหยาที่ทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย
เขาเหมือนจะไม่เคยเห็นนางยิ้มได้สดใสถึงเพียงนี้มาก่อน
หลิวจี้ยกมือเกาศีรษะ อยากจะมองหน้านางให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ก็รู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต็มไปด้วยความปีติที่ได้รับการยอมรับ เป็นความรู้สึกที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะไม่รุนแรงนัก แต่กลับทำให้แผ่นหลังของเขายืดตรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่ฉินเหยาปลาบปลื้มใจเสร็จก็หันกลับไปดูรายชื่ออื่นๆ บนกระดาน และพบเข้ากับชื่อที่คุ้นเคย หลิวลี่
“เอ๋? เจ้ารองหลิวก็ติดอันดับเช่นกันรึ” หลิวจี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เพิ่งสังเกตเห็นชื่อของหลิวลี่ ที่อยู่ในลำดับเหนือกว่าตนไปมาก
หลิวลี่เป็นบุตรชายคนรองของบ้านหลิวต้าฝูและเป็นผู้เข้าสอบรุ่นเดียวกับเขา
ฉินเหยารู้สึกแปลกใจจึงหันไปถามหลิวจี้ “เจ้าสองคนเรียนในสำนักศึกษาเดียวกัน แล้วยังสอบในสนามสอบเดียวกันอีก เจ้าไม่สังเกตเห็นเขาเลยรึ”
หลิวจี้ยักไหล่ “ข้าหมกมุ่นอยู่กับการทำข้อสอบรอบแรกให้ดีเพื่อให้เมียจ๋าของข้าชื่นใจ จะมีเวลาที่ไหนไปสนใจพวกคนไม่สำคัญเหล่านั้นเล่า”
แน่นอน เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ทั้งเขาและหลิวลี่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน หลิวจี้จึงไม่อยากให้คนอื่นนำตนเองไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย ดังนั้นในชีวิตประจำวันจึงพยายามหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายให้มากที่สุด
ทั้งที่ทั้งคู่คุ้นเคยกันดี แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองกลับต้องทำเหมือนไม่สนิทกัน
หลิวลี่เองก็ไม่ได้ชอบหลิวจี้นัก พอใจที่จะอยู่ห่างๆ เช่นกัน ที่จริงเขายังกลัวว่าหลิวจี้จะเข้ามาตีสนิทเสียอีก
แต่ในยามนี้ ดูเหมือนจะหลบเลี่ยงไม่ได้แล้ว
แม้ว่าหลิวลี่จะไม่ชอบหลิวจี้ แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งต่อความชื่นชมที่เขามีต่อฉินเหยา
“พี่สะใภ้ ท่านก็มาด้วยหรือ!” หลิวลี่ฝ่าฝูงชนเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ข้างกายเขามีภรรยาและหลิวกงผู้เป็นพี่ชาย
หลิวกงเองก็ยิ้มให้ฉินเหยาอย่างมีมารยาทพร้อมกล่าวแสดงความยินดี
ฉินเหยากล่าวแสดงความยินดีตอบ หลิวจี้ก็จำต้องกล่าวแสดงความยินดีกับหลิวลี่เช่นกัน
“ออกไปพูดคุยกันข้างนอกเถอะ ตรงนี้มีคนเยอะเกินไป” ฉินเหยาชี้ไปด้านนอก ก่อนจะนำทุกคนออกไปยังตรอกที่มีผู้คนบางตา และกล่าวทักทายกันอีกเล็กน้อย
หลิวลี่เอ่ยถาม “พี่สะใภ้ พวกท่านจะกลับวันนี้เลยหรือไม่ พี่ชายของข้าขับรถม้ามา เรากลับพร้อมกันก็ได้”
ฉินเหยาโบกมือ “พวกข้าคงกลับช้ากว่านั้นหน่อย ข้าเองก็นำรถม้ามาด้วย เอาไว้กลับถึงหมู่บ้านแล้วค่อยพบกันใหม่เถิด”
เมื่อหลิวลี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขายังอยากถามฉินเหยาเรื่องที่นางล่าหมีล่าเสืออยู่เลย
แต่ยังไงก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน โอกาสยังมีอีกเยอะ เขาจึงหันไปถามหลิวจี้ว่า อยากซื้อประทัดสักสองชุดกลับไปจุดฉลองหรือไม่
ดวงตาของหลิวจี้เป็นประกาย นั่นช่างดูน่าเกรงขามนัก!
แต่ก่อนที่เขาจะตอบรับ ฉินเหยาก็ชิงปฏิเสธไปก่อนแล้ว นางกลัวว่าหลิวจี้จะเหลิงเกินไป คนเราอย่างไรก็ควรถ่อมตัวเข้าไว้
หลิวจี้จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แสร้งทำเป็นถ่อมตัว “ไม่เอาๆ รอให้ข้าสอบติดเป็นซิ่วไฉก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าเป็นแค่ถงเซิงตัวเล็กๆ ในเขตนี้ยังมีอีกเป็นกอง จะไปจุดประทัดให้ใครเขาหัวเราะเยาะเล่นทำไม…โอ๊ย! เมียจ๋า เจ้าตีข้าทำไม!?”
ฉินเหยาใช้ข้อศอกกระแทกเขาไปหนึ่งที พูดไม่เป็นก็หุบปากไปเสีย!
หลิวลี่ที่ตั้งใจจะซื้อประทัดกลับหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวใหญ่ บัดนี้เกิดความสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าหลิวสามนี่กำลังพูดแดกดันตัวเองอยู่ หากยังอยู่ต่อไปคงโดนทำให้โมโหตาย จึงขอลากลับไปก่อน
ก่อนจากไป หลิวกงถามฉินเหยาว่าปีนี้จะเริ่มปลูกพืชเมื่อใด ถึงตอนนั้นพาพวกเขาปลูกด้วยได้หรือไม่
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เอาไว้กลับหมู่บ้านแล้วค่อยว่ากัน” ฉินเหยากล่าวพลางยิ้ม
หลิวกงได้ยินดังนั้นก็วางใจแล้วพาน้องชายไปยังที่ว่าการอำเภอเพื่อรับเอกสารรับรอง
………………..
MANGA DISCUSSION