ตอนที่ 205 วิสัยทัศน์และมุมมองที่กว้างไกล
………………..
สองสามีภรรยากินแป้งทอดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จ่ายเงินแล้วจูงม้ามุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม
เมื่อถึงโรงเตี๊ยมและจัดแจงรถม้าเสร็จสิ้น หลิวจี้เห็นว่ารอบข้างไม่มีคนอยู่แล้ว จึงบอกฉินเหยาถึงสิ่งที่ตนพบในสนามสอบ
“เช่นนั้น ครั้งนี้เจ้าจะต้องมีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้สอบผ่านแน่นอนใช่หรือไม่” ฉินเหยารู้สึกแปลกใจไม่น้อย นี่เป็นฝีมือของผู้ใดกันถึงได้ทุ่มทุนมากมายถึงเพียงนี้
แต่เรื่องนี้หาใช่สิ่งที่สามัญชนตัวเล็กๆ อย่างนางจะล่วงรู้ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าคือการสอบซ้ำของหลิวจี้จะสามารถติดเข้าไปในชื่อผู้สอบผ่านได้หรือไม่
แท้จริงแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร หากรายนามยังไม่ถูกประกาศออกมา หลิวจี้เองก็ไม่กล้ารับประกัน ต้องรอจนกว่ารายชื่อจะออกจึงจะรู้ได้แน่ชัด
“ประกาศผลวันใด” ฉินเหยาถาม
ไม่นานนักหรอก หลิวจี้ตอบว่า “สอบเสร็จวันนี้ อีกสองวันก็คงประกาศผลแล้ว”
ฉินเหยามองไปยังห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่เต็มไปด้วยความคึกคัก “เช่นนั้นก็รออีกสองวันเถอะ”
หลิวจี้เองก็คิดเช่นนั้นเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไปวิ่งมาด้วย
“เช่นนั้น เมียจ๋าจะพักอยู่ในนี้สองวันเลยหรือ” หลิวจี้ชี้ไปที่ตัวรถม้า ในใจอยากกล่อมให้นางไปเปิดห้องพักดีๆ สักห้อง ตัวเขาเองก็จะพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
น่าเสียดาย ฉินเหยาไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลย “ห้องโดยสารในตัวรถม้าก็ดีอยู่แล้ว”
หลิวจี้ทำได้เพียงเก็บแผนการเล็กๆ ของตนเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงหีบหนังสือพลังเซียนที่นางนำมาขาย “เมียจ๋า เจ้าคิดค้นของทำเงินขึ้นมาอีกแล้วหรือ”
ฉินเหยาเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “บอกแล้วว่าเรื่องในบ้านเจ้าไม่จำเป็นต้องมายุ่ง อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีวันให้เจ้าต้องขาดของกินของใช้แน่”
หลิวจี้ยิ้มประจบ “ข้าก็แค่ห่วงใยเมียจ๋าเท่านั้น เจ้าวิ่งวุ่นไปมาเช่นนี้คงลำบากไม่น้อยเลย สองวันต่อจากนี้พวกเราออกไปนอกเมืองชมธรรมชาติ ผ่อนคลายกันสักหน่อยดีหรือไม่”
หลิวจี้ชะงักไปครู่หนึ่ง นัดอะไร? แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงเออออตามนางไป “ใช่ ข้านัดเจ้าไปตระเวนชมทิวทัศน์”
ฉินเหยาส่งเสียงเหยียดหยามออกมาเบาๆ “ไสหัวไป!”
“เช่นนั้นเจ้าจะไปที่ใด” หลิวจี้ไม่เพียงแต่ไม่ไสหัวไปตามที่นางบอกกลับยิ่งตามติด เห็นนางกำลังจะไปปลดสัมภาระท้ายรถม้าก็รีบเดินตามไม่ห่าง
ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัว หากอยากกินของดีๆ ก็มีเพียงหนทางเดียว นั่นคือต้องกอดขาของนางไว้ให้แน่นๆ
ฉินเหยาหันไปกำชับศิษย์ในครัวให้ช่วยดูแลสัมภาระบนรถม้าให้ตน ก่อนจะจูงม้าออกจากประตูหลังของโรงเตี๊ยม “ข้าจะไปดูอะไรแถวชานเมืองสักหน่อย”
หลิวจี้ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “นี่มิใช่การตระเวนชมทิวทัศน์หรอกหรือ ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่สรรพสิ่งฟื้นคืนชีวิตพอดีเลย”
แต่ฉินเหยากลับหันมามองเขาอย่างเย็นชา “ปีนี้เจ้ารู้เรื่องแมลงระบาดบ้างหรือไม่”
หลิวจี้งุนงง “แมลงระบาดอะไรหรือ”
ฉินเหยาพยักเพยิดคาง หลิวจี้ก็รู้หน้าที่ รีบปีนขึ้นหลังม้าไปนั่งตรงด้านหน้า มือคว้าบังเหียนไว้แน่น ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น อีกใจก็แอบประหม่าอยู่ไม่น้อย
หญิงสาวด้านหลังพลิกตัวขึ้นนั่งบนอานม้าอย่างคล่องแคล่ว นั่งอยู่ด้านหลังเขาอย่างมั่นคง
มือข้างหนึ่งสะกิดแผ่นหลังของเขาเบา ๆ “หมอบลงไป!” เจ้าบังสายตาข้าอยู่
“อ้อ” หลิวจี้คุ้นชินกับคำสั่งของนางนานแล้วจึงก้มลงแล้วโอบคอม้าไว้อย่างว่าง่าย
ฉินเหยาหนีบขาทั้งสองกับท้องม้าครั้งหนึ่ง เหล่าหวงก็พาทั้งสองทะยานออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าสู่ที่ดินเขตชานเมืองทันที
นอกอำเภอไคหยาง ตลอดแนวถนนหลวงที่ทอดยาวออกไปคือผืนไร่นาอันอุดมสมบูรณ์
ขณะนี้การเก็บเกี่ยวข้าวสาลีใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อทอดสายตามองไปจะเห็นสีดำหม่นทั้งผืน ซึ่งก็คือร่องรอยของตอซังที่เหล่าชาวนาเผาทำลายทิ้ง
เมื่อม้าชะลอฝีเท้าลง หลิวจี้จึงค่อยกล้าเงยหน้าขึ้น
ตอนขามานั้นเขานั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้า แถมยังมัวแต่กังวลเรื่องสอบรอบสอง จึงไม่ทันได้สังเกตสภาพทุ่งนาในปีนี้ให้ดี
เมื่อมองดูตอนนี้ ถึงแม้หลิวจี้จะไม่ค่อยลงนา แต่ก็ดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เหตุใดจึงเผาตอฟางข้าวสาลีไปมากมายถึงเพียงนี้”
ฉินเหยาพลิกตัวลงจากหลังม้า หลิวจี้ก็รีบตามลงมาเช่นกัน เขาเดินตามนางไปยังแปลงนาข้าวสาลีขนาดหนึ่งหมู่ที่อยู่ใกล้ที่สุด
ฉินเหยาคุกเข่าลง หยิบฟางข้าวสาลีที่ยังไหม้ไม่หมดขึ้นมาหนึ่งกำ ยังสามารถมองเห็นรวงข้าวได้อย่างชัดเจน
ในวิถีเกษตรดั้งเดิมที่ไร้ซึ่งยาฆ่าแมลงและสารเคมี ทางเดียวที่ชาวนาเหล่านั้นพอจะนึกออกได้ก็คือเผาพื้นที่ที่ถูกแมลงรบกวน เพื่อเผาฆ่าแมลงให้หมดสิ้น
ถึงขั้นเผารวงข้าวทิ้งทั้งหมดอย่างนี้ แสดงว่านาแปลงนี้แทบไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวเลย แถมยังเจอแมลงระบาดอย่างหนักอีกด้วย
หลิวจี้รู้สึกสะท้านใจ รีบกวาดตามองไปทั่วผืนนา เถ้าดำลามไปทั่ว ผืนนาที่ถูกเผาทำให้เขาใจหาย นี่หมายความว่าข้าวสาลีเหล่านี้ไม่อาจเก็บเกี่ยวได้แม้แต่เมล็ดเดียวเลยหรือ
เนื่องจากฤดูเก็บเกี่ยวเมื่อปีที่แล้วได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์มาก ชาวนาหลายคนจึงคิดจะปล่อยให้ที่ดินได้พักฟื้น ไม่ได้เพาะปลูกข้าวสาลีเต็มพื้นที่ ครั้นมองจากไกลๆ สีดำกระจัดกระจายทั่วไร่นานั้นจึงดูไม่สะดุดตา แต่พอมาดูใกล้ๆ กลับทำให้ใจคนสั่นสะท้าน
หากฤดูกาลนี้ไร้ซึ่งผลผลิตจริงๆ เกรงว่าชาวนาทั้งหลายคงยากจะอยู่รอดจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวรอบหน้าแล้ว
ฉับพลันหลิวจี้ก็นึกถึงความวิตกกังวลของหลิวเหล่าฮั่นขึ้นมา รีบใช้ปลายนิ้วสะกิดแขนฉินเหยาเบาๆ “เมียจ๋า เจ้าว่าปีนี้จะเกิดภัยตั๊กแตนระบาดหรือไม่”
ฉินเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ที่นี่พวกเราจะไม่เจอภัยนั้น”
ชาวนาเขตอำเภอไคหยางแห่งนี้รับมือกับภัยแมลงได้ทันท่วงที วิธีการก็เด็ดขาด กล้าตัดใจเผาทำลายทั้งผืนจึงยังควบคุมสถานการณ์ได้
แม้ในช่วงเดือนห้าถึงหกอาจเกิดภาวะขาดแคลนอาหารเล็กน้อย แต่ดูจากเสบียงที่มีในคลังแล้ว อำเภอไคหยางยังพอมีเสบียงสำหรับเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
รอจนถึงกลางหรือปลายเดือนเจ็ด เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสิ้น วิกฤตข้าวปลาก็จะคลี่คลาย
แต่เรื่องเช่นนี้ ยากจะประเมินให้แม่นยำได้เสมอไป แม้อำเภอนี้จะไม่รุนแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าอำเภอข้างเคียงจะไม่รุนแรงเช่นกัน
ฉินเหยาปัดเศษขี้เถ้าออกจากมือก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับหลิวจี้ว่า “จงขอบคุณท่านหญิงฮุ่ยหยางเถิด หากไม่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ สงครามคงไม่จบลง และเสบียงที่เมืองจื่อจิ่งก็คงรักษาไว้ไม่ได้แน่”
หลิวจี้ตอบรับตามความเคยชินว่า “ใช่ๆๆ”
แต่หลังจากพูดจบก็นึกขึ้นได้แล้วพึมพำว่า “สหายร่วมชั้นเรียนของข้าล้วนพูดกันว่า มีแต่แคว้นที่อ่อนแอเท่านั้นถึงจะยอมก้มหัวทำเรื่องน่าอัปยศเช่นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”
หลิวจี้ไม่แน่ใจในจุดยืนของนางจึงรีบปฏิเสธความเกี่ยวข้องทันที “พวกเขาพูดกันเช่นนี้ ข้าไม่ได้พูดนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็เห็นใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการดูแคลนหรือเยาะเย้ยออกมา “ดูท่าว่าพวกเจ้ากลุ่มบัณฑิตคงอ่านจนตำราเข้าท้องสุนัขกันไปหมดแล้ว!”
หลิวจี้เอ่ยเสียงอ่อยว่า “เจ้าช่วยอย่าเหมารวมว่า ‘พวกเจ้า’ ได้หรือไม่ ข้ามิได้พูดเสียหน่อย…”
“หากเจ้าไม่เห็นด้วย เมื่อครู่เจ้าคงไม่พูดคำเหล่านั้นให้ข้าได้ยินหรอก” ฉินเหยาหัวเราะเย็นชา “พวกเจ้ากลุ่มบัณฑิต วิสัยทัศน์ช่างคับแคบเสียจนข้ารู้สึกตกตะลึงเลย”
คราวนี้หลิวจี้ทนไม่ได้แล้ว เขาประสานมือคำนับฉินเหยา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “เมียจ๋า ช่วยชี้แนะด้วย!”
เขาอยากรู้ว่านางจะมีวิสัยทัศน์และมุมมองที่กว้างไกลเพียงใด
เดิมทีฉินเหยาไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับคนไร้ค่าเช่นเขา ทว่าพอคิดดูอีกที หากวันหน้าหลิวจี้ต้องเข้าสอบเคอจวี่และเดินบนเส้นทางขุนนางก็ควรบ่มเพาะให้เขามีความละเอียดอ่อนทางการเมืองเสียหน่อย นางสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นความขุ่นเคืองลงแล้วส่งสัญญาณให้เขาจูงม้า พลางเดินไปทางตัวอำเภอแล้วกล่าวว่า
“หากเจ้าเป็นท่านผู้นั้นซึ่งปกครองอยู่ในเมืองหลวง เพิ่งจะยุติสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายสิบปี สถาปนาแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นสำเร็จ เจ้าคิดว่าสิ่งที่ควรทำลำดับต่อไปคืออะไร”
หลิวจี้ไม่ตอบเพราะคำตอบในใจเขาคือรับสาวงามทั่วหล้าเข้าวังหลัง เสพสำราญ ลิ้มรสความสุขในโลกมนุษย์
แต่หากเขากล่าวเช่นนั้นออกไป วันนี้มิแคล้วคงสิ้นชีพเป็นแน่ จึงรีบทำหน้าเหมือนตั้งใจฟังอย่างจริงจังแทน
ดวงตาของเขากลอกไปมา ฉินเหยาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงมิได้คิดเรื่องดีแน่ นางเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“หากต้องการรู้ว่าก้าวต่อไปควรทำเช่นไรก็ต้องย้อนคิดเสียก่อนว่า เหตุใดจึงเกิดกลียุคขึ้นมา”
แนวคิดนี้ฟังดูแปลกใหม่ หลิวจี้จึงใช้สมองขบคิดอย่างหาได้ยาก ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง
แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ขุนนางผู้บันทึกประวัติศาสตร์ยังมิได้เขียนเอาไว้ อาจารย์ก็มิได้สอน เขาจึงไม่รู้จะเริ่มคิดจากตรงไหน
………………..
MANGA DISCUSSION