ตอนที่ 204 แค่ตัวประกอบเท่านั้น
………………..
เพราะบังเอิญตรงกับช่วงการสอบรอบสอง อำเภอไคหยางจึงเต็มไปด้วยบัณฑิตมากมาย โรงเตี๊ยมจึงแน่นขนัด ห้องพักเต็มจนไม่มีที่ว่าง
หลิวจี้ยังสามารถกลับไปที่หอพักของสำนักศึกษาได้ แต่ฉินเหยาทำได้เพียงยกหีบหนังสือลงวางไว้ที่มุมหนึ่งของลานด้านหลังโรงเตี๊ยม แล้วพักค้างคืนในรถม้า
ตอนอยู่บนภูเขานางนอนที่ใดก็ได้ ที่นี่อย่างน้อยก็มีหลังคาบังฝน ฉินเหยาจึงไม่มีคำบ่นแม้แต่น้อย
ในโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมมีผู้คนแน่นขนัด นางกับหลิวจี้ต้องรออยู่นานกว่าจะได้กินอาหารร้อนๆ สักมื้อ
พ่อครัวใหญ่ของโรงเตี๊ยมรู้ดีว่าฉินเหยากินจุเพียงใดจึงนำอาหารมาให้ทีเดียวถึงห้าชุด
แน่นอนว่า ตอนคิดเงิน นางก็ต้องจ่ายแพงกว่าผู้อื่นหลายเท่า
หลิวจี้มองฉินเหยาหยิบเงินออกมาจ่ายโดยไม่กะพริบตา แล้วก้มลงมองถุงเงินที่ว่างเปล่าของตนเองด้วยความอิจฉาแทบจะร้องไห้
เมื่อฉินเหยาจ่ายเงินเสร็จ หันกลับมาก็เห็นสีหน้าหม่นหมองของเขา นางจึงกล่าวเตือนเสียงเย็นชา
“พรุ่งนี้เป็นวันสอบรอบที่สอง เจ้ายังไม่รีบกลับไปทบทวนตำราอีกหรือ”
เงินสิบตำลึงที่นางให้เขาไปก่อนหน้านี้ เพราะการสอบรอบสองทำให้สูญเปล่าทั้งหมด ตอนนี้นางจึงอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก!
หลิวจี้เป็นคนรู้สถานการณ์ดี ย่อมไม่กล้ายั่วโทสะนางในเวลานี้
ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา หากตายไปก็คงไม่มีใครเก็บศพให้
“เมียจ๋า เช่นนั้นข้าขอกลับไปที่สำนักศึกษาก่อน เจ้าเองก็รีบพักผ่อนเถิด” หลิวจี้แสดงความห่วงใย
ฉินเหยาเอ่ยอย่างรำคาญ “พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปรับเจ้า”
“อืม ได้” หลิวจี้ยิ้มพลางเดินออกจากโรงเตี๊ยม พอหันหลังกลับไป รอยยิ้มของเขาก็หายวับไปทันที เหลือเพียงความกระวนกระวายในดวงตา
เขาคิดว่าคืนนี้ตนคงไม่มีทางข่มตาหลับได้แน่แล้ว
แต่กลับไม่คิดว่าเพิ่งล้มตัวลงนอนบนเตียงในหอพักก็หลับสนิทไปในทันที
รอจนหลิวจี้สะดุ้งตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงอรุณส่องรำไรแล้ว
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉินเหยาบอกว่าจะมารับตนไปยังสนามสอบจึงรีบลุกขึ้น จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นที่ต้องใช้สำหรับเข้าสอบ แล้วหิ้วหีบหนังสือที่หนักอึ้งก้าวออกจากประตูสำนักศึกษา
ยังมีสหายร่วมทางอีกหลายคน เดิมทีทุกคนล้วนสอบผ่านแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ยินดีครบหนึ่งชั่วยามกลับได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับการสอบรอบสอง ต่างคนต่างเต็มไปด้วยความกังวล นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ดูไร้ชีวิตชีวากันถ้วนหน้า
ในตำรากล่าวไว้ว่า แรกกระตุ้นย่อมฮึกเหิม ครั้งที่สองย่อมอ่อนแรง ครั้งสามย่อมหมดสิ้นปรารถนา สถานการณ์ของบรรดาศิษย์สำนักศึกษาในยามนี้ช่างตรงกับคำกล่าวนั้นยิ่งนัก
เมื่อเทียบกันแล้ว หลิวจี้กลับฝันดีตลอดทั้งคืน ตื่นมาจิตใจปลอดโปร่ง ทำให้สหายร่วมชั้นเหลือบมองเป็นระยะๆ ต่างลอบอิจฉาในความสงบนิ่งของเขา
ก็แน่อยู่แล้วสิ เขาผ่านการฝึกฝนมาจากชายแดนแล้ว จิตใจย่อมหนักแน่นมั่นคง
เมื่อฉินเหยาขับรถม้ามาถึงหน้าประตูสำนักศึกษา หลิวจี้ก็ออกมาพอดี ทั้งสองสบตากันเพียงครู่เดียวก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
หลิวจี้ขึ้นไปนั่งบนอีกฟากของรถม้าที่ว่างอยู่ ท่ามกลางสายตาริษยาและอาฆาตของเหล่าสหาย เขาก็ร่วมทางไปยังสนามสอบกับเมียจ๋า
ฉินเหยายังเตรียมอาหารเช้าให้เขาด้วย อาหารจากโรงเตี๊ยมอร่อยกว่าร้านข้างทางเป็นร้อยเท่า
แต่ระหว่างที่กินไป หลิวจี้ก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง หรือว่านี่จะเป็นมื้อสุดท้ายของเขากัน
ช่างเถอะ! ถ้ามื้อสุดท้ายก็ให้มันเป็นไป กินก่อนค่อยว่ากัน ของอร่อยเช่นนี้ จะให้เสียเปล่าไม่ได้!
ก่อนเข้าสนามสอบ ฉินเหยายิ้มอ่อนโยนให้หลิวจี้อย่างหาได้ยากแล้วตบไหล่เขาเบาๆ “ทำใจให้สบายเถิด สอบให้ดี”
ในใจคิดว่า จะปล่อยให้การลงทุนของข้าสูญเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!
หลิวจี้กล่าวว่า “ถ้าเกิดสอบไม่ติดเล่า” หรือว่าข้าจะต้องตายไร้ที่กลบฝัง?
ฉินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ปีหน้าค่อยลองใหม่ ถ้าปีหน้าไม่ได้ก็ปีถัดไป พยายามไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเจ้าจะสอบติดเอง”
คำตอบนี้เกินความคาดหมาย เขานึกว่านางจะพูดอะไรทำนองที่ว่าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียอีก
หลิวจี้รู้สึกซาบซึ้งจนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงพลางจับมือฉินเหยาแน่น “เมียจ๋า เจ้าวางใจเถอะ! สามีผู้นี้จะทุ่มสุดกำลัง!”
พูดจบ เขาก็รีบปล่อยมือก่อนที่นางจะเปลี่ยนสีหน้า คว้าหีบหนังสือขึ้นมา แล้วก้าวเข้าสู่ประตูสนามสอบอย่างมุ่งมั่น
ฉินเหยามองส่งเขาจนหายเข้าประตูไป ก่อนจะหันกลับไปหยิบหีบหนังสือที่อยู่ในรถม้าออกมาวางเรียงกันที่ฝั่งตรงข้ามสนามสอบแล้วเริ่มขาย!
ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังสอบรอบที่สอง ในใจเต็มไปด้วยความกังวล เหงื่อเม็ดโตหยดลงมาด้วยความตึงเครียด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกมาก หลิวจี้พบว่าที่นั่งของเขาไม่เพียงแต่ยังอยู่ที่เดิม แม้แต่บัณฑิตที่นั่งอยู่รอบตัวทั้งหน้า หลัง ซ้าย และขวา ก็ยังคงเป็นกลุ่มเดียวกับการรอบสอบแรกไม่ผิดเพี้ยน
พวกเขามองหน้ากันและกันแล้วเห็นแววตาสงสัยเช่นเดียวกันในสายตาของอีกฝ่าย
จากนั้น ผู้คุมสอบก็เดินเข้ามามากกว่ารอบแรกถึงสองเท่า พวกเขาประจำตำแหน่งที่มุมทั้งสี่ของห้องสอบ ทิศตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือ สายตาคมกริบดั่งเหยี่ยว จับจ้องทุกคนในห้องอย่างไม่คลาดสายตา
มีบางคนที่อายุยังน้อยประหม่าจนมือสั่นระริกไปหมด
หลิวจี้กลับไม่รู้สึกอะไร เพราะเทียบกับสายตาแห่งความตายของฉินเหยาแล้ว นี่ไม่นับว่าเท่าไหร่
หลังจากที่หัวหน้าผู้คุมสอบอ่านกฎระเบียบจบ กระดาษข้อสอบจึงถูกแจกจ่ายออกไป
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึก พลางภาวนาให้สวรรค์คุ้มครอง ขอให้หัวข้อการสอบบนกระดาษนั้นง่ายลงสักหน่อยเถิด
หัวหน้าผู้คุมสอบประกาศชื่อ ‘หลิวจี้’ เมื่อได้ยินชื่อของตน หลิวจี้ก็ลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า รับข้อสอบและกระดาษคำตอบของตน
เมื่อกลับมานั่งที่เดิม หลิวจี้คลี่กระดาษข้อสอบออกดู แต่ทันทีที่เห็นเนื้อหา ทั้งร่างของเขาก็พลันแข็งค้าง
ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น คนที่นั่งอยู่ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาล้วนมีสีหน้าเช่นเดียวกัน
เพราะข้อสอบตรงหน้านี้เหมือนกับข้อสอบรอบแรกทุกประการ!
หลิวจี้เงยหน้าขึ้นทันที บังเอิญสบตากับบัณฑิตที่นั่งอยู่ทางซ้าย ทั้งสองประสานสายตากันเพียงชั่วครู่ก็เข้าใจได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นรอบแรกหรือรอบสอง การสอบครั้งนี้เป็นเพียงกลอุบายที่วางไว้เพื่อใครคนหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาทั้งหมด เป็นเพียงตัวประกอบที่ถูกนำมาเพื่อสร้างสีสันก็เท่านั้นเอง
แต่สำหรับบทบาทตัวประกอบนี้ หลิวจี้กลับยินดีที่จะเป็นอย่างยิ่ง!
ทุกคนต่างเข้าใจกันดีโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด พวกเขาหยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มตอบคำถามเงียบๆ เพราะเนื้อหาเหมือนกันกับรอบแรก หลังจากสอบเสร็จพวกเขาก็ได้แลกเปลี่ยนคำตอบกันไปแล้ว ทำให้หลิวจี้ทำข้อสอบได้อย่างไร้กังวล เรียกได้ว่าผ่อนคลายเสียด้วยซ้ำ
ไม่นาน เขาก็ตอบจนเต็มกระดาษคำตอบ แต่เวลายังเหลืออีกมาก ไม่มีใครกล้าส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลา
จนกระทั่งมีคนแรกที่ลุกขึ้น ส่งผลให้มีคนทยอยออกจากห้องสอบตามมา
หีบหนังสือทั้งสิบเก้าหีบที่ฉินเหยานำมาล้วนขายหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว แถมยังเกิดการแย่งชิงกันวุ่นวายอีกด้วย บรรดาเด็กรับใช้ข้างกายของแต่ละตระกูลต่างกลัวว่าจะซื้อไม่ทันจนเกือบจะทะเลาะกันเสียแล้ว
สำหรับคนที่ซื้อไม่ทันต่างพากันสอบถามที่ตั้งของร้านค้า หวังว่าจะไปซื้อที่ร้านของฉินเหยาในภายหลัง
แต่น่าเสียดาย ฉินเหยาไม่มีร้านค้าเป็นของตนเองจึงทำได้เพียงเอ่ยขอโทษพวกเขา
“แต่ครั้งหน้าหากมีตลาดนัด ข้าจะมาอีก”
เหล่าผู้คนกำชับนางว่าครั้งหน้าจงนำหีบหนังสือมาให้มากขึ้นแล้วแยกย้ายกันไป เพราะเหล่าผู้เข้าสอบต่างทยอยออกจากสนามสอบแล้ว
ฉินเหยานับเงินเสร็จก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลตลาดเป็นค่าภาษีส่วนแบ่ง สุดท้ายเงินสุทธิที่ได้อยู่ที่สิบตำลึงพอดี
ขณะที่หลิวจี้ออกจากสนามสอบ ฉินเหยาก็กำลังนั่งอยู่หน้าร้านขนมแป้งทอดฝั่งตรงข้ามสนามสอบ ดื่มน้ำแกงไปพลาง เคี้ยวแป้งทอดที่สอดไส้เนื้อกับเห็ดหอมไปพลาง เปลือกนอกกรอบข้างในนุ่ม รสชาติเข้มข้นหอมกรุ่น
เมื่อเห็นร่างของหลิวจี้ปรากฏขึ้น ฉินเหยาก็รีบยกมือโบกเรียกทันที
หลิวจี้กดความตื่นเต้นที่อัดแน่นอยู่ในอก เดินเข้ามาก่อนจะหยิบชามน้ำแกงครึ่งชามที่เหลืออยู่ตรงหน้านางขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดเพื่อระงับความตื่นเต้นของตนเอง
“เจ้าอยาก…” คำว่า ‘ตายรึ’ ยังไม่ทันจะหลุดออกจากปาก หลิวจี้ก็นั่งลงตรงข้ามนาง พร้อมสั่งกับเจ้าของร้านอย่างมั่นใจว่า “เอาแบบเดียวกันที่นางสั่งมาอีกหนึ่งชุด!”
เจ้าของร้านยิ้มรับคำ จากนั้นนำขนมแป้งทอดไส้เห็ดหอมกับเนื้อสามชิ้นพร้อมด้วยน้ำแกงกระดูกหนึ่งชามมาวางตรงหน้าหลิวจี้
เมื่อเห็นหีบหนังสือวางอยู่ข้างตัวเขา อีกทั้งเขายังเพิ่งออกมาจากสนามสอบ เจ้าของร้านจึงกล่าวแสดงความยินดี
หลิวจี้ยิ้มรับอย่างถ่อมตน “ขอบคุณๆ!”
พอเจ้าของร้านเดินจากไป เขาก็หยิบขนมแป้งทอดขึ้นมากัดอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบกับฉินเหยาเสียงเบาว่า “เมียจ๋า คราวนี้ข้าผ่านแน่!”
ถ้าหากครั้งนี้เขายังไม่มีชื่อในรายชื่อผู้สอบผ่านอีก เขาก็จะไปฟ้องร้องให้ถึงที่สุด อย่างมากก็แค่ให้ทุกคนสอบใหม่พร้อมกันอีกครั้ง!
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย เดิมทีฝ่ามือของนางเตรียมจะฟาดใส่หลิวจี้อย่างแรงแล้ว แต่พอได้ยินคำว่า “ผ่านแน่” นางก็รีบชะลอแรงลงจนมือเกือบจะเพียงแค่ ‘แตะ’ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเท่านั้น
สัมผัสเย็นๆ ที่ปัดผ่านใบหน้า ทำให้หลิวจี้ยิ้มหวานอย่างเพลิดเพลิน แต่กลับขนลุกชันไปทั้งร่าง
อันตรายจริงๆ เกือบจะโดนนางตบเข้าให้แล้ว!
เจ้าของร้านที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับรู้สึกใจกระตุก นี่ไม่มีใครคิดจะใส่ใจชีวิตของพ่อหนุ่มคนนี้บ้างเลยรึ?!
………………..
MANGA DISCUSSION