ตอนที่ 203 การสอบรอบสอง
………………..
เมื่อเห็นผู้มาหอบหายใจเดินเข้ามาในลานบ้าน คู่แฝดก็ร้องเรียกเสียงดังอย่างดีใจว่า “ท่านพ่อ!”
ต้าหลางและเอ้อร์หลางสบตากัน แอบตื่นเต้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าท่านพ่อสอบผ่านรอบแรกหรือยัง
สองพี่น้อง คนหนึ่งก้าวไปรับห่อสัมภาระจากหลิวจี้ อีกคนรีบไปที่ห้องครัวนำชามและตะเกียบเข้ามาในห้องโถง
กับข้าวยังมีเหลืออยู่บ้าง ส่วนข้าวนั้นเพราะวันนี้ฉินเหยากินน้อยจึงเหลืออีกหนึ่งชาม เพียงพอให้หลิวจี้กินอิ่ม
หลิวจี้รีบร้อนเดินทางกลับบ้าน หิวจนแทบคลั่งแล้ว เขาเพียงฝืนยิ้มให้ฉินเหยาคราหนึ่ง แล้วรีบล้างมือลวกๆ ก่อนจะรับอาหารที่ต้าหลางยื่นให้ นั่งลงที่โต๊ะแล้วกินอย่างหิวโหย
ฉินเหยารอจนเขากินเสร็จ ถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ผลสอบรอบแรกออกแล้วหรือยัง”
หลิวจี้รับผ้าเช็ดหน้าที่ซื่อเหนียงบุตรสาวยื่นให้ เช็ดปากคราหนึ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นเรอเสียงดัง “เอิ๊ก” ออกมาหนึ่งทีจึงค่อยพยักหน้าตอบ
ห้าแม่ลูกจึงเข้ามาล้อมรอบตัวเขาไว้ กลั้นหายใจรอฟังผลที่เขาจะบอก
หลิวจี้จึงถามฉินเหยาว่า “มีข่าวดีหนึ่งเรื่อง ข่าวร้ายหนึ่งเรื่อง พวกเจ้าอยากฟังข่าวไหนก่อนเล่า”
ฉินเหยาได้ยินดังนี้ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี รีบตอบว่า “ข่าวดีก่อน”
หลิวจี้หัวเราะฮี่ๆ “ข้าสอบผ่านรอบแรกแล้ว”
ห้าแม่ลูกดวงตาพลันเปล่งประกาย ทั้งยินดีทั้งตกใจ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสอบผ่านจริงๆ
ฉินเหยายังไม่ลืมว่ามีข่าวร้ายอีกข่าวจึงข่มความดีใจลง ถามอย่างหยั่งเชิงไปว่า “แล้วข่าวร้ายเล่า”
หลิวจี้ถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “ยังต้องสอบรอบสองอีก”
ตอนนี้เขาได้แต่เสียใจที่ก่อนเข้าห้องสอบไม่ได้ซื้อยันต์เหลืองพกติดตัวไว้ มิฉะนั้นคงไม่ซวยถึงเพียงนี้!
ห้าแม่ลูกต่างพากันสงสัย รีบถามพร้อมกันว่า “การสอบรอบสองหรือ”
หลิวจี้พยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง เรื่องนี้หากเล่าคงยาวนัก เขาจึงเล่าอย่างสั้นๆ
การสอบรอบแรกเขาอาศัยเส้นสายจัดการได้ ทั้งที่นั่งและสหายข้างเคียงจึงล้วนถูกจัดให้อย่างดี อีกทั้งการคุมสอบรอบแรกก็ไม่ได้เคร่งครัดนัก เขาจึงพอจะลากสังขารผ่านพ้นไปได้ หลิวจี้มิได้รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า รายชื่อสอบผ่านเพิ่งประกาศออกมายังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม กลับมีผู้ไปร้องเรียนว่าการสอบรอบแรกมีผู้ทุจริต ไม่พอใจผลสอบ ทางการจึงประกาศยกเลิกผลสอบที่ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ และกำหนดให้มีการสอบรอบสองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เหล่าบัณฑิตที่มีรายชื่อสอบผ่านล้วนต้องเข้ารับการทดสอบอีกครั้ง ผลสุดท้ายจะอิงตามผลการสอบรอบสองนี้เท่านั้น
เมื่อฉินเหยาได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระจ่างแจ้ง กลับไม่รู้ควรแสดงสีหน้าอย่างไรต่อหน้าหลิวจี้ เจ้าคนดวงตกผู้นี้ดี
สุดท้ายนางก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เอ่ยถามเขาว่า “การสอบรอบสองจัดขึ้นวันใด”
หลิวจี้มีสีหน้าขมขื่นเอ่ยตอบ “มะเรื่องนี้”
เวลาน้อยถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่เตรียมตัวเลย เกรงว่าแทบจะเป็นการไล่เป็ดขึ้นคอนแล้ว
ฉินเหยาถอนหายใจคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ดีมาก เช่นนั้นครอบครัวเรามาช่วยกันฟาดข้าวสาลีให้เสร็จก่อนเถิด!”
หลิวจี้ “!!!”
เด็กทั้งสี่เห็นแม่เลี้ยงมีท่าทางนิ่งสงบเช่นนี้ จิตใจที่เดิมปั่นป่วนกลับค่อยๆ สงบลงโดยไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นครอบครัวหกชีวิตจึงเริ่มลงมือช่วยกันฟาดข้าวสาลีอย่างยากลำบาก
ฉินเหยาขนหินโม่ขนาดใหญ่มา กลิ้งทับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
คู่แฝดรับหน้าที่คอยเก็บฟางที่ถูกทับจนเรียบร้อยแล้วออกไป
ต้าหลางและเอ้อร์หลางคอยกวาดเมล็ดข้าวสาลีที่ร่วงหล่นลงใส่ตะกร้า
สุดท้ายหลิวจี้ก็ใช้ตะแกรงร่อนแยกเมล็ดข้าวออกจากเศษฟางอย่างละเอียด แล้วนำไปเทลงบนเสื่อไม้ไผ่เพื่อผึ่งแดดให้แห้งสนิท
เพียงสองวันข้าวสาลีก็ถูกคนงานชั่วคราวสองคนเก็บเกี่ยวจนหมด ฉินเหยาจ่ายค่าจ้างให้พวกเขา พื้นที่หนึ่งหมู่คิดเงินยี่สิบห้าเหวิน รวมทั้งหมดจึงเท่ากับสองร้อยห้าสิบเหวิน
เงินสองเฉียนกว่าเชียวนะ หลิวจี้มองแล้วก็อดรู้สึกปวดใจมิได้ แต่พอนึกถึงแรงกายที่ประหยัดลงไปได้ หลังจากคนงานทั้งสองจากไปแล้ว เขาก็รีบยกนิ้วโป้งกล่าวประจบฉินเหยาทันทีว่า เมียจ๋าทำได้เยี่ยมมาก!
หลิวจี้กลับมาอย่างกะทันหัน ชาวบ้านก็ต่างพากันมาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าเขาสอบผ่านหรือไม่ คนมาทีละกลุ่มๆ จึงล้วนถูกฉินเหยาจับมาเกณฑ์แรงงานจนหมด
อยากรู้ผลสอบหรือ
ย่อมได้ รีบนำเมล็ดข้าวที่ฟาดออกมาไปร่อนให้สะอาดแล้วข้าจะรีบบอกเจ้าเดี๋ยวนี้
หลิวจี้เห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ของฉินเหยา แม้นางไม่ต้องเตือน เขาก็เข้าสู่สถานะลึกลับ ยิ้มเงียบไม่พูดจา ใครถามสิ่งใดเขาก็เอาแต่ยิ้มจนกระทั่งคนผู้นั้นช่วยงานเสร็จ เขาจึงค่อยตอบคำถามอย่างคลุมเครือไปสองสามคำ
ด้วยเหตุนี้เอง หลิวจี้กลับมาบ้านแล้วถึงสองวัน ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาสอบผ่านหรือสอบตกกันแน่
แม้แต่คนเรือนเก่าของตระกูลหลิวฝั่งนั้นก็ยังคงสับสนงุนงง
แต่หลิวเหล่าฮั่นกลับเข้าใจนิสัยของบุตรชายตนเองเป็นอย่างดี มีโอกาสสูงมากที่เขาจะสอบไม่ผ่าน หาไม่แล้วด้วยนิสัยของเจ้าสาม คงได้ประกาศให้รู้กันทั่วทั้งตำบลไปแล้ว
คราวนี้กลับสงบเสงี่ยมเช่นนี้ มิใช่นิสัยของเขาโดยแท้
แต่ในขณะที่หลิวเหล่าฮั่นมั่นใจในการคาดเดาของตนยิ่งนัก ฉินเหยาและหลิวจี้สองสามีภรรยา กลับขับรถม้าออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอในยามบ่ายของวันที่สองหลังจากหลิวจี้กลับมาถึงบ้าน
ก่อนออกเดินทาง ยังพาต้าหลางและเอ้อร์หลางมาที่เรือนเก่า เอ่ยว่าที่บ้านยังตากข้าวสาลีอยู่ สองสามีภรรยาต้องเข้าเมืองหลายวัน หากเกิดฝนตก ขอให้เรือนเก่าช่วยดูแลสักหน่อย
พวกต้าหลางสี่พี่น้อง พรุ่งนี้ยังมีวันหยุดอีกหนึ่งวัน สามารถช่วยตากข้าวได้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องดูแลเพียงอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้น
พร้อมกันยังส่งมอบกุญแจประตูบ้านเพื่อให้สะดวกในการนำเกวียนวัวออกมา และมอบหมายให้ช่วยรับส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษา
ก่อนจากไป ฉินเหยาได้ยื่นเงินครึ่งตำลึงให้กับนางเหอ เป็นค่าเหนื่อยและค่าอาหารสำหรับพวกต้าหลางสี่พี่น้อง
จนกระทั่งสองสามีภรรยาขับรถม้าออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิว บรรทุกหีบหนังสือพลังเซียนสิบเก้าหีบที่ผ่านการปรับปรุงแล้วออกไป คนในเรือนเก่าตระกูลหลิวถึงเพิ่งได้สติกลับคืนมา
หลิวเหล่าฮั่นคว้าตัวต้าหลางและเอ้อร์หลางที่กำลังจะวิ่งกลับบ้านไว้พลางถามด้วยความสงสัยว่า “พ่อแม่เจ้าเข้าเมืองไปทำอะไรรึ?”
ต้าหลางนั้นไม่มีความมั่นใจในผลการสอบรอบสองของท่านพ่อ อีกทั้งตอนนี้ผลสอบก็ยังไม่ออก จึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงตอบว่า “ท่านแม่เข้าเมืองไปขายหีบหนังสือพลังเซียนขอรับ”
หลิวเหล่าฮั่นเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ “แค่ขายหีบหนังสือ ไยต้องไปหลายวันขนาดนั้น”
“พวกเจ้าสองคนพูดความจริงกับข้าเถิด พ่อของเจ้าสอบรอบแรกไม่ผ่านใช่หรือไม่”
แต่ต้าหลางเป็นคนปากหนัก ไม่ว่าเรือนเก่าจะสอบถามอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องที่หลิวจี้ต้องสอบรอบสอง เพียงกล่าวอย่างกำกวมว่า “รอให้น้าเหยากลับมาแล้วก็จะรู้เอง”
เอ้อร์หลางก็เสริมว่า “รอท่านแม่กลับมาก่อนแล้วจะรู้เองขอรับ ไม่ต้องรีบร้อน”
ไม่ต้องรีบร้อนหรือ
เช่นนี้จะไม่ให้รีบร้อนได้อย่างไรเล่า!
หลิวเหล่าฮั่นขยับมือนวดหว่างคิ้ว การสอบเคอจวี่เป็นเรื่องสำคัญเพียงนี้ เหตุใดบ้านเจ้าสามจึงยังสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้ เขาคิดไม่ตกเลย
ผู้เฒ่าโบกมือ เพียงให้หลานชายทั้งสองกลับบ้านไปก่อน
“เดี๋ยวก่อน!” คิดไปคิดมา เขาก็ยังคงเรียกหลิวไป่ให้ติดตามหลานทั้งสองไปที่บ้านของพวกเขา เพื่อดูข้าวสาลี
ที่ดินสิบหมู่ของบ้านฉินเหยา เก็บเกี่ยวข้าวสาลีได้หนึ่งพันเก้าร้อยกว่าจิน
หักค่าเช่าไปสี่ส่วน ในมือยังก็เหลืออยู่อีกหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบจิน
นี่เป็นผืนดินชั้นดี แต่เมื่อถูกรุกรานจากศัตรูพืช ผลผลิตก็ลดลงไปถึงสามส่วน
ทว่าหากเปรียบเทียบกับผลผลิตต่อหมู่ของคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่แล้ว นี่ก็ยังเป็นตัวเลขที่น่าอิจฉาอยู่ดี
หลิวเหล่าฮั่นและบุตรชายใช้เวลาอยู่ที่บ้านฉินเหยาเกือบครึ่งชั่วยาม ช่วยสี่พี่น้องขนข้าวสาลีทั้งหมดไปไว้ในลานบ้านแล้วใช้เสื่อคลุมไว้ ก่อนกลับไป
เมื่อกลับมาถึงหน้าบ้าน หลิวเหล่าฮั่นยืนอยู่บนแผ่นศิลาเบื้องหน้าประตู จ้องมองท้องนาที่เต็มไปด้วยข้าวสาลีหม่นมัวทั่วหมู่บ้าน หวังเพียงว่าสองสามีภรรยาฉินเหยาที่เข้าเมืองไป จะนำข่าวดีมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันอึมครึมของหมู่บ้านนี้ได้บ้าง
ก่อนที่ประตูเมืองจะปิด ฉินเหยาและหลิวจี้ก็ขับรถม้ามาถึงอำเภอไคหยางโดยสวัสดิภาพ
หลังจากชำระค่าธรรมเนียมการดูแลสุขอนามัยเรียบร้อยแล้ว รถม้าก็แล่นตรงเข้าสู่เมือง มาหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ฟ่าน
………………..
MANGA DISCUSSION