บทที่ 127 ทำผิดแล้วค่อยมารู้คุณค่า
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องให้หลี่เฟยฮวายกโทษให้และขอโอกาสสุดท้าย
“หลี่เฟยฮวา ทุกอย่างที่ผ่านมาฉันทำไปเพราะอิจฉาเธอ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองผิด ขอร้องละ ให้อภัยฉันด้วยเถอะ”
แม้หลี่เฟยฮวาจะหลบพ้นการคุกเข่าของเสี่ยวหลิว ได้ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายกอดขาไว้แน่น
หวงหมิงลู่ไม่อยากไปจับร่างกายของเสี่ยวหลิวเพื่อแยกออก ส่วนหลี่เฟยฮวาก็ดิ้นไม่หลุดจึงได้แต่พูดว่า “ฉันยกโทษให้เธอแล้ว ปล่อยมือซะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นแววตาตาของเสี่ยวหลิวก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
“หลี่เฟยฮวา งั้นเธอช่วยพูดกับทางมหาวิทยาลัยให้ฉันกลับไปเรียนต่อนะ”
แต่หลี่เฟยฮวากลับหัวเราะเยาะทันที “ทำไมฉันต้องทำด้วย? ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ นี่คือสิ่งที่เธอสมควรได้รับ”
เสี่ยวหลิวมีแววตที่ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่หลี่เฟยฮวาบอกว่ายกโทษให้แล้ว แต่กลับไม่ยอมไปพูดกับทางมหาวิทยาลัย
“เธอจะปล่อยให้ฉันถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยจริง ๆ เหรอ เธอรู้ไหมว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งมันยากแค่ไหน!”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? เธอก็รู้ว่าการเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเธอควรจะรู้จักรักษาโอกาสนั้นให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำผิดแล้วค่อยมารู้คุณค่า สิ่งที่เธอทำกับการที่เธอขอโทษ มันคนละเรื่องกัน”
หลี่เฟยฮวาพูดจบแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
จริง ๆ แล้ววันนี้ไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่สำนึกผิดของเสี่ยวหลิว หลี่เฟยฮวาก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
ส่วนหยวนไห่เฉินก็พยายามจะขัดขวาง แต่หวงหมิงลู่กลับยืนขวางหน้าเขาไว้อย่างกะทันหัน
“ผู้กองหยวนไห่เฉินระวังกิริยาด้วย”
สีหน้าของหยวนไห่เฉินเปลี่ยนไปในทันที เขาหน้าบึ้งตึงลากเสี่ยวหลิวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ไปกัน!”
เสี่ยวหลิวถูกพ่อลากจนเซ ส่วนหลี่เฟยฮวาก็มองแผ่นหลังของทั้งสองคนที่เดินจากไป และแอบคาดเดาในใจว่าหลังจากนี้เสี่ยวหลิวคงจะไม่ค่อยสบายนัก แต่เธอไม่รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากพวกเขาจากไป หลี่เฟยฮวาก็มองนาฬิกาข้อมือ รีบถือกระเป๋าเดินทางใบใหม่ไปขึ้นรถและโบกมือให้หวงหมิงลู่ที่อยู่นอกหน้าต่างรถทันทีที่ขึ้นมานั่งแล้ว
หวงหมิงลู่มีสีหน้าอ่อนโยนและโบกมือลาเธอ แต่หลังจากที่รถออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงแต่สีหน้าเรียบเฉยก่อนจะหมุนตัวกลับไปอีกทาง
…
เมื่อหวงหมิงลู่กลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ลู่ซือเจี้ยและเพื่อน ๆ กำลังจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร และเมื่อเห็นหลี่เฟยฮวากลับมาจึงถามทันที
“หลี่เฟยฮวากลับมาพอดีเลย เธอกินข้าวแล้วหรือยัง พวกเรากำลังจะไปกินข้าวที่โรงอาหารกัน”
แต่สายตาของหลี่เฟยฮวากลับตกอยู่ที่ร่างเล็ก ๆ ที่ตู้จื่อเถิงกำลังจูงมืออยู่ ส่วนตู้จื่อเถิงก็รู้สึกถึงสายตาของหลี่เฟยฮซาจึงรีบอธิบาย
“เด็กคนนี้เป็นลูกชายของฉันเอง”
เด็กชายตัวน้อยดูราวสามสี่ขวบ ร่างกายดูผอมแห้ง ผิวคล้ำเล็กน้อย ใบหน้าตอบยิ่งทำให้ดวงตาสีดำสนิทคู่โตนั้นเปล่งประกายวิบวับราวกับดวงดาว
หลี่เฟยฮวาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงเผยรอยยิ้ม “สวัสดีจ้ะ หนูชื่อตู้หลี่เจียง ใช่ไหม?”
ดวงตาสีดำสนิทคู่โตของตู้หลี่เจียงเป็นประกายวูบหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าอย่างสำรวม เด็กชายจ้องมองหลี่เฟยฮวาตาไม่กะพริบ
ตู้หลี่เจียงเพิ่งเคยเห็นพี่สาวที่สวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้พี่สาวสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ทั้งพูดจาอ่อนหวานและอ่อนโยนมาก
ตู้หลี่เจียงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “สวัสดีครับพี่สาว ผมชื่อตู้หลี่เจียงครับ”
หลี่เฟยฮวายิ้มเล็กน้อยและลูบศีรษะของตู้หลี่เจียงด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบช็อกโกแลตออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ทันที “นี่จ๊ะ”
ตู้หลี่เจียงเห็นห่อช็อกโกแลตที่คุ้นเคย ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
ที่แท้ช็อกโกแลตก่อนหน้านี้ก็เป็นพี่สาวส่งมาให้นี่เอง!
เมื่อนึกถึงรสชาติของช็อกโกแลตแล้ว ตู้หลี่เจียงก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แล้วจึงหันไปมองตู้จื่อเถิง
ตู้จื่อเถิงก็รู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง แต่หลี่เฟยฮวาได้เอาช็อกโกแลตใส่กระเป๋าลูกชายของเธอไปแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่พูดว่า “หลี่เจี่ยง ต้องขอบคุณด้วยนะ”
ตู้หลี่เจียงมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างและรีบพูดออกมาทันที “ขอบคุณครับ พี่สาว”
หลี่เฟยฮวายิ้มกว้างและลูบหัวตู้หลี่เจียงเบา ๆ อีกครั้ง “ไม่เป็นไรจ้ะ”
ทั้งสี่คนพาเด็กน้อยมาที่โรงอาหาร
เพราะวันนี้มีตู้หลี่เจียงอยู่ด้วย ตู้จื่อเถิงจึงไม่ประหยัดเท่าไหร่ และแน่นอนว่าทั้งสี่คนสั่งอาหารผัดมาหลายอย่าง
เจ้าตัวน้อยนั่งบนโต๊ะและกินจนเลอะเทอะไปหมด ส่วนตู้จื่อเถิงก็คอยเช็ดปากให้ลูกชายด้วยความรัก
“เดี๋ยวต้องพาตู้หลี่เจียงกลับไปส่งไหม?”
หลังกินข้าวเสร็จหลี่เฟยฮวาถามขึ้นมาทันที ส่วนตู้จื่อเถิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ตอบว่า
“มหาวิทยาลัยมีกฎว่าห้ามพาเด็กมาค้างที่หอพัก เดี๋ยวพ่อของเขามารับ”
หลักสูตรปีหนึ่งเข้มงวดมาก แต่ดีที่มยังคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าทั้งวันเสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุดไม่มีการเรียน ซึ่งไม่เหมือนชาติที่แล้วที่ต้องเรียนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์
อาจารย์เหนื่อย นักศึกษาก็เหนื่อย
หลังจากส่งลูกกลับไปตู้จื่อเถิงก็รู้สึกไม่ค่อยดี เมื่อกลับถึงหอพักและอาบน้ำเสร็จแล้วก็นั่งอ่านหนังสือ
หนังสือที่หลี่เฟยฮวายืมมาครั้งที่แล้วยังอ่านไม่จบ ดังนั้นหลังกินข้าวเย็นแล้วเธอก็นอนอ่านหนังสือบนเตียงตลอด จนถึงเวลาสองทุ่มจึงไปโทรศัพท์รายงานให้หวงหมิงลู่
คืนนั้นชิงเหลียนไม่ได้กลับมา
นอกจากนั้นยังมีบทความชี้แจงบนกระดานประกาศติดไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือน ทำให้ยังคงมีสายตาที่จับจ้องหลี่เฟยฮวาอยู่มาก แต่ก็ไม่มีความเป็นปรปักษ์เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เสี่ยวหลิวไม่ได้มาหาเธออีก ส่วนชิงเหลียนและหยางอู๋เจี๋ยก็ไม่ได้มาเรียนติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์
จนกระทั่งใกล้ถึงวันชาติหลี่เฟยฮวาจึงรู้ว่า ชิงเหลียนและหยางอู๋เจี๋ย คนหนึ่งนั้นขอลาพักการเรียน ส่วนอีกคนขอลาออก
คิดดูแล้วก็สมควร เพราะในยุคที่คำพูดของคนน่ากลัวเช่นนี้ เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นคงไม่มีใครมีหน้ามาอยู่ในห้องเรียนได้อีก
หลี่เฟยฮวาไม่รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
วันสุดท้ายของเดือนกันยายน มหาวิทยาลัยปักกิ่งประกาศวันหยุดวันชาติ และเมื่อหยุดถึงเจ็ดวันติดต่อกัน พวกลู่ซือเจี้ยต่างก็เตรียมพร้อมที่จะเริ่มใช้เวลาว่างกันแล้ว
“หลี่เฟยฮวา เธอเป็นคนในเมืองหลวง เธอคงต้องกลับบ้านสินะ?”
หลี่เฟยฮวาพยักหน้าตอบรับ แต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนเยว่ซูเม่ยที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
“ฉันกับลู่ซือเจี้ยบ้านเกิดอยู่ไกลเกินไป เพียงแค่การเดินทางไปกลับก็ต้องใช้เวลาถึงสองวันแล้ว แถมตั๋วรถก็ไม่ได้ถูกด้วย พวกเราเลยกลับบ้านได้แค่เทอมละครั้งเท่านั้น”
ความตื่นเต้นตอนมาเรียนผ่านไปแล้ว ตอนนี้เห็นคนที่มีบ้านได้กลับบ้าน ส่วนคนที่ไม่ได้กลับก็นัดกันไปเที่ยวด้วยกัน แต่พวกเขาที่ไม่มีเงินก็ได้แต่อยู่ในมหาวิทยาลัยทุกวัน ทำให้ ลู่ซือเจี้ยกับเยว่ซูเม่ยรู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย
ส่วนหลี่เฟยฮวานั้น…เคยชินกับการอยู่คนเดียว เหมือนกับจอกแหนที่ลอยอยู่ในน้ำ[1]
แม้ชาติที่แล้วอาจารย์จะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็ต้องทำการทดลองลับเป็นเวลาหลายเดือนหรือแม้กระทั่งหนึ่งปีโดยไม่ได้กลับบ้าน คนที่ดูแลเธอส่วนใหญ่เป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวัน ปกติแล้วเธอจะได้รับความห่วงใยจากอาจารย์ผ่านทางโทรศัพท์และวิดีโอคอลเท่านั้น
แต่วันนี้เมื่อลู่ซือเจี้ยกับเยว่ซูเม่ยพูดถึงเรื่องนี้หลี่เฟยฮวาก็รู้สึกอยากกลับบ้านอย่างรวดเร็วขึ้นมาทันที
[1] หมายความ การไม่มีรากฐานหรือความมั่นคง เปรียบได้กับคนที่ขาดจุดหมาย ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว หรือรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกในชีวิต
MANGA DISCUSSION