บทที่ 13: ดีแต่เห่า ใครๆ ก็ทำได้
อาหารค่ำของปราสาทหลวงก็ไม่ได้หรูหราอลังการทุกมื้อหรอกนะ
บางทีก็มีเมนูธรรมดาๆ เหมือนพวกอาหารชุดสไตล์ญี่ปุ่นออกมาบ้างเหมือนกัน
คงเป็นเพราะถ้าให้พวกเรา 30 ชีวิตกินแต่อาหารหรูๆ ทุกมื้อ เดี๋ยวจะเคยตัวจนพอใจกับชีวิตแบบนั้นไปซะก่อนล่ะมั้ง
ให้ได้ลิ้มลองชีวิตหรูหราพอประมาณ แล้วก็ดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงพอประมาณ
เอ๊ะ หรือว่าฉันจะคิดมากไปเองวะเนี่ย
วันนี้เป็นสเต๊กแฮมเบิร์กกับผักเคียง ซุปข้าวโพด แล้วก็ข้าวบาร์เลย์
ถึงจะบอกว่าไม่หรูหรา แต่แค่นี้มันก็เกินพอแล้วล่ะมั้ง
ไม่สิ ต้องบอกว่าแค่มีข้าวให้กินทั้งๆ ที่ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทนี่ก็บุญหัวแล้ว
「อิทาดาคิมัส (จะทานแล้วนะครับ)」
「คำว่า “อิทาดาคิมัส” ที่ทุกท่านพูดกันน่ะ มีความหมายว่าอย่างไรหรือคะ」
ไม่รู้ทำไมองค์หญิงคนโตแห่งตระกูลทาทัลท์ถึงมาโผล่อยู่ข้างๆ ฉันได้ก็ไม่รู้
เธออุตส่าห์มานั่งลงข้างๆ ฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวแล้วก็ชวนคุยซะงั้น
ถึงตอนนี้คนจะน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครอยู่เลยสักหน่อย
พวกแก๊งเด็กเกเรกับนักเรียนหญิงบางส่วนก็กำลังกินข้าวกันอยู่ตามปกติ
รู้สึกเหมือนโรงอาหารที่ปกติก็เสียงดังจอแจอยู่แล้วมันยิ่งหนวกหูขึ้นไปอีก
แต่ว่าองค์หญิงคนโตหาได้แคร์ไม่
เธอยังคงจ้องมองฉันอย่างละเอียดลออพลางชวนคุยเรื่องสัพเพเหระที่เจ้าตัวเองก็คงไม่ได้สนใจอะไรนักหนาหรอก
「ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่ เมื่อสักครู่ลืมแนะนำตัวเองไปเลยสินะคะ ดิฉันชื่อ ลาซูลี ทาทัลท์ หลังจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ」
[เพิ่มโปรไฟล์ของ “ลาซูลี ทาทัลท์” ในรายชื่อผู้ติดต่อแล้ว]
ระหว่างที่แนะนำตัว เธอก็จับมือฉันอย่างเป็นธรรมชาติซะงั้น
ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพวกผู้หญิงเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้
ฉันไม่ได้มีภูมิต้านทานผู้หญิงในชีวิตจริงสูงอะไรขนาดนั้น แค่โดนสัมผัสตัวเบาๆ ก็ใจเต้นตึกตักแล้ว
นี่ฉันมันใจง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย?
ลาซูลีจับมือฉันไว้ไม่ยอมปล่อย
รู้สึกเหมือนสติมันเริ่มจะล่องลอยยังไงก็ไม่รู้
พวกผู้ใหญ่เขาบอกว่าเมาเหล้ามันเป็นแบบนี้รึเปล่านะ หรือว่ามันจะคล้ายๆ กัน
「เป็นอะไรรึเปล่าคะ?」
เหมือนตอนกลางวันเลย เธอสบตาฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
ดวงตาของเธอมันสวยเกินกว่าจะใช้คำว่า “สวย” ธรรมดาๆ มาอธิบายได้ มันมีเสน่ห์ดึงดูดจนแทบจะละสายตาไม่ได้เลย
สติทั้งหมดของฉันแทบจะถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง
「อ๊ะ! นี่แน่ะ! ทำอะไรอยู่น่ะ!?」
「อ๊ะอ๊ะ เป็นอะไรไปจ๊ะ ถึงได้โกรธขนาดนั้น เบอร์รีสท์」
「ท่านพี่ลาซูลีต่างหากล่ะคะ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้กันแน่!?」
พอได้ยินเสียงของเบอร์รี่ สติของฉันก็ค่อยๆ กลับมาชัดเจนขึ้น
เมื่อกี๊รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ตัวเองเลย
หรือว่า… องค์หญิงคนโตคนนี้จะใช้สกิลสายลุ่มหลงกับฉันเข้าให้แล้ว!?
ไม่สิ น่าจะใช่แน่ๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ทำให้ฉันกลายเป็นหมากตัวหนึ่งของเธอแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร แต่ที่แน่ๆ คือฉันกำลังโดนหมายหัวอยู่
นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดไปเองแน่ๆ
「ก็แค่คุยกันนิดหน่อยเองค่ะ」
「มู~ ชิโร่เองก็ทำหน้าหื่นเกินไปแล้วนะ!」
「ไม่ใช่ซะหน่อย ว่าแต่ ขอบใจนะที่ช่วย」
「ช่วย? ช่วยอะไรเหรอ?」
「เรื่องของฉันน่า ใช่ไหมล่ะครับ คุณลาซูลี」
ฉันลองหยั่งเชิงดู
ประมาณว่าฉันพอจะเดาออกนะว่าคุณกำลังจะทำอะไรน่ะ
จากนี้ไปคงต้องระวังองค์หญิงคนโตคนนี้ไว้ให้ดีแล้วล่ะ
ต่อให้จะหน้าตาสวยแค่ไหน แต่การที่จะโดนหลอกใช้เป็นหมากโดยไม่รู้ตัวน่ะมันยอมไม่ได้หรอกนะ
「คิกคิก คุณนี่น่าสนใจจริงๆ เลยนะคะ ยิ่งทำให้… อ๊ะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เชิญทานอาหารให้อร่อยนะคะ」
ยังจะมีแผนอะไรอีกรึเปล่านะ เธอเดินออกจากโรงอาหารไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหนือกว่า
เบื้องหลังของเธอคนนั้นมันซ่อนอะไรไว้กันแน่
คงต้องลองสืบดูอย่างระมัดระวังซะแล้ว
「เบอร์รี่ก็จะกลับห้องแล้วเหมือนกัน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกไว้ก่อน! คนที่สนิทกับชิโร่ก่อนน่ะไม่ใช่ท่านพี่ลาซูลีนะ แต่เป็นเบอร์รี่ต่างหาก! เรื่องนั้นน่ะ อย่าลืมซะล่ะ!」
「เข้าใจแล้วๆ จำไว้แล้วน่า」
「ถ้าเข้าใจแล้วก็ดีมาก งั้นไว้เจอกันนะ」
ผู้หญิงนี่มันอะไรกันนะ คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ น่ากลัวชะมัด
แต่ที่แน่ๆ คืออย่าไปทำให้พวกเธอโกรธจะดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้ว คงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้องค์หญิงคนโตไว้ก่อน
เท่านี้ก็ได้อยู่คนเดียวสักที
อุตส่าห์เชฟทำสเต๊กแฮมเบิร์กอร่อยๆ มาให้ทั้งที ถ้าไม่รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่มันก็เสียมารยาทแย่เลย
ว่าตามตรง กระเพาะของฉันมันก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ท้องมันร้องประท้วงดังโครกครากอยู่เนี่ย
ฝีมือการย่างสเต๊กแฮมเบิร์กก็สุดยอดอยู่แล้วนะ แต่ซอสเดมิกลาสที่น่าจะทำเองตั้งแต่ต้นนี่สิ ทั้งกลิ่นหอมเข้มข้นที่ผสมผสานกับน้ำจากเนื้อจนชวนให้น้ำลายสอ
มันอร่อยเลิศเลอซะจนอยากจะเรียกเชฟมาขอบคุณด้วยตัวเองเลยจริงๆ
「แต่ว่า ก่อนอื่นต้องซุปข้าวโพดก่อน」
「เฮ้ย ฟุรุอิ มีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาเจอกันหน่อยดิ๊」
「…ฉันกำลังจะกินข้าวอยู่นะ」
พวกเด็กเกเรเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันที่กำลังจะได้กินข้าวสักที แล้วก็ชวนคุย
ฉันไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพวกนี้เลยสักนิด
แล้วสีหน้าของอีกฝ่ายมันก็ดูโกรธๆ ด้วย
หมายความว่าโอกาสที่จะได้คุยเรื่องสนุกๆ น่ะมันเป็นศูนย์
ถ้างั้น จะมาเสียเวลาอันมีค่าในการกินข้าวของฉันทำไมกันเล่า
「แกกวนตีนเรอะ!?」
ฉันโดนกระชากคอเสื้อ ช้อนที่กำลังจะตักซุปข้าวโพดเลยร่วงหล่นลงพื้น
พวกผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์ก็กรีดร้องออกมา
ไม่อยากจะตกเป็นเป้าสายตาเลยนะ แต่รอบข้างมันก็ยิ่งเสียงดังจอแจเข้าไปใหญ่
「อา อุตส่าห์ทำมาให้ตั้งเยอะ เสียดายของชะมัด」
ความรู้สึกผิดที่ทำอาหารเสียของมันดันมากกว่าความกลัวที่โดนพวกเด็กเกเรหาเรื่องซะงั้น
「เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะน่า แกอย่ามาทำกร่างหน่อยเลย!」
「ไม่พอใจที่เห็นฉันเก่งขึ้นกว่าแกงั้นเรอะ? หรือว่าไม่พอใจที่ฉันได้คุยกับสี่พี่น้องคนสวยนั่นกันแน่?」
เอาจริงๆ ฉันก็พอจะเดาได้อยู่หรอกนะ
มองจากมุมคนอื่นแล้ว สภาพแวดล้อมของฉันมันน่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่การที่จะมาโดนไอ้พวกนี้กระชากคอเสื้อน่ะมันยอมไม่ได้โว้ย
「เมื่อกี๊แกพูดจาไม่เข้าหูเลยนะเว้ย!」
อารมณ์ขึ้นอยู่ฝ่ายเดียวเลยนี่หว่า
อีกฝ่ายมันไม่ได้คิดอะไรก่อนจะทำเลยสักนิด
เพราะงั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องไปอารมณ์เสียตามไปด้วยหรอก
「ปล่อยมือได้แล้วน่า มันเจ็บนะเฟ้ย」
ฉันจับแขนที่กระชากคอเสื้อฉันไว้
แล้วก็ค่อยๆ ออกแรงบีบ
ไอ้เด็กเกเรทำหน้าเบ้ด้วยความเจ็บปวด
ถ้าเจ็บก็ปล่อยสิวะ ยังจะดื้อด้านจับไว้อีก
ถ้างั้นฉันก็คงต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายแล้วล่ะ
ฉันใช้มืออีกข้างจับข้อศอกมันไว้ แล้วก็เตะตัดขาให้มันล้มลงไปกองกับพื้น
แบบนี้มันต้องเสียงดังแน่ๆ แถมยังดูรุนแรงอีกต่างหาก คงจะตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ
แต่ถ้าไม่ทำถึงขนาดนี้ ก็คงจะป้องกันตัวเองไม่ได้
พวกสมุนของมันรีบวิ่งกรูเข้ามาจะแยกฉันออก
วิธีที่ใช้ก็คือความรุนแรงแบบไร้ทักษะ
อยากจะถามจริงๆ ว่าที่ฝึกซ้อมกันมาตั้งนานเนี่ย ได้เรียนรู้อะไรไปบ้างวะ
หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว
ต่อให้พวกมันจะยกโขยงกันมาอีกกี่คน ผลลัพธ์มันก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก
พวกเด็กเกเรนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
ถ้าพวกมันรู้จักประเมินกำลังตัวเองซะบ้าง เรื่องมันก็คงไม่จบลงแบบนี้หรอก
「บัดซบเอ๊ย!」
พวกมันสบถคำหยาบคายทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารไป
หวังว่าคราวนี้คงจะเข็ดแล้วเลิกทำตัวเป็นนักเลงข่มขู่คนอื่นไปทั่วได้แล้วนะ
ฉันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไปขอช้อนใหม่แล้วก็กินข้าวต่อ
โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในไม่ช้า
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION