ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 345 อยากสร้างภาพที่นี่? มาผิดที่แล้ว!
บทที่ 345 อยากสร้างภาพที่นี่? มาผิดที่แล้ว!
องค์ชายเจ็ดรู้สึกว่าสิ่งที่เสด็จแม่ของเขาพูดมีเหตุผล และถึงกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากพระสนมซูกำจัดเจ้าหนุ่มคนนั้นได้จริง ๆ เสด็จพ่อจะต้องยับยั้งพระสนมซูอย่างแน่นอน แต่ถ้าล้มเหลว พระสนมซูก็จะต้องอนาถเช่นกัน!”
พระสนมอู่เย้ยหยันว่า “ละครกำลังจะเริ่มแล้ว…”
…
ลู่เฉินที่อยู่ในจวนหนานลัวไม่รู้ว่าปัญหากำลังจะเข้ามาอีกแล้ว และปัญหานี้ก็กำลังโถมเข้ามาอย่างดุเดือด
เห็นเพียงเกี้ยวสีดำปรากฏขึ้นนอกจวนหนานลัว ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งมาที่ประตูของจวนหนานลัวและตะโกนขึ้นมาว่า “พระสนมซูเสด็จแล้ว!”
เสียงนี้ดังลั่น แต่ในจวนกลับว่างเปล่าราวกับไม่มีใครอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้ทหารรักษาการณ์รอบ ๆ เกี้ยวมีสีหน้าดูไม่ได้ ในขณะที่พระสนมซูพูดอย่างเศร้าหมองอยู่บนเกี้ยวว่า “เหตุใดคนจากจวนหนานลัวถึงได้กล้าหาญเพียงนี้? พวกเขาไม่แม้แต่จะมาต้อนรับข้าด้วยซ้ำ”
ในขณะนี้เสียงของหนานลัวก็ดังมาจากด้านในจวน “พระสนมซูเข้ามาเถิด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนเหล่านี้ก็คิดว่าหนานลัวกำลังวางท่า พระสนมซูจึงโกรธจัดจนพูดว่า “เข้าไป!”
ทุกคนเข้าไปในจวน แต่ก็พบว่าภายในจวนยังคงว่างเปล่า
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนงงงวยจนกระทั่งพวกเขามาถึงลานบ้าน ก่อนจะพบหนานลัวและหนานเหยาที่อยู่ในศาลา
หนานเหยาไม่รู้ว่าใครอยู่บนเกี้ยว แต่หนานลัวรู้สึกงงงวย “พระสนมซู ท่านไม่ได้กักตนอยู่หรือ เหตุใดจึง…”
“เหตุใด? มาไม่ได้หรือ? หรือว่าท่านไม่ชอบให้ข้ามา?” สตรีที่นั่งเกี้ยวถามกลับ
หนานลัวจึงยิ้มอย่างเขินอาย “พระสนมซู ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่สงสัย!”
“พูดถึงความสงสัย ข้าก็ยิ่งอยากรู้ว่าพวกเจ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคนเลยหรือ? หรือเจ้ากำลังพยายามทำให้ข้าอับอาย?” พระสนมซูโกรธเคืองเล็กน้อย แต่ก่อนที่หนานลัวจะพูดอันใด หนานเหยาก็พูดขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร?”
“ข้า? หรือว่าท่านเจ้ากรมไม่เคยแนะนำเจ้า?” พระสนมซูถามกลับไป แต่หนานเหยาถามแปลก ๆ ว่า “ท่านไม่ใช่คนดัง เหตุใดเขาถึงต้องแนะนำ?”
“สาวน้อย เจ้าช่างปากร้ายนัก!” พระสนมซูมีท่าทีเย็นชาขึ้นมา
หนานลัวรีบแนะนำให้หนานเหยาฟัง “นางเป็นมารดาแท้ ๆ ขององค์ชายรอง พระสนมซู และยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักบัญชามารอีกด้วย!”
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเสด็จแม่ของผู้ที่ถูกประกาศจับ!” หนานเหยาอดไม่ได้ที่จะดูถูกสตรีคนนี้
พระสนมซูขมวดคิ้ว “ทหาร ตบปากนางให้ข้าที!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” จากนั้นทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามา
ทหารรักษาการณ์ผู้นี้เป็นยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิด แต่ก่อนที่เขาจะมาถึงศาลา เขาก็ถูกค่ายกลนอกศาลาซัดจนกระเด็นออกไป และทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็พากันตกใจ ส่วนหนานเหยาก็ส่งเสียงจุ๊ ๆ แล้วพูดว่า “ข้าว่านะ ท่านคิดว่าที่นี่คือที่ใด? แถมยังคิดจะตบข้า? ท่านมีความสามารถหรือ!”
พระสนมซูเอ่ยอย่างเย็นชา “อันใด? เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถฝ่าค่ายกลนี้เข้าไปได้หรือ?”
“มาสิ ข้าจะลองดู!” หนานเหยาไม่คิดเช่นนั้น แต่หนานลัวเตือนว่า “ระวังให้ดี พระสนมซูผู้นี้ร่ำเรียนมาจากปรมาจารย์ด้านค่ายกลอันดับหนึ่งของแดนทักษิณา ปรมาจารย์เถียน และยังได้เรียนรู้วิธีการทำลายค่ายกลแบบอื่นด้วย!”
“ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์เถียนหรือปรมาจารยถู่อันใด ในสายตาข้า ท่านอาจารย์ของข้าเป็นอันดับหนึ่ง!” คำพูดของหนานเหยาทำให้พระสนมซูเย้ยหยัน “ช่างเป็นสตรีที่หยิ่งยโสเสียจริง!”
หนานลัวรีบพูดว่า “พระสนมซู ถ้าท่านไม่มีอันใดทำ ท่านควรออกไปจากที่นี่! มิฉะนั้น ข้าเกรงว่าท่านจะมีปัญหากับองค์จักรพรรดิ!”
“อันใดนะ? เจ้าใช้องค์จักรพรรดิมาข่มเหงข้าหรือ?!” พระสนมซูตะคอก
“มิกล้า แค่เพียงองค์จักรพรรดิมีรับสั่งไม่ให้ทำร้ายนางและหมอเทวดาลู่!” เห็นได้ชัดว่าหนานลัวรู้ว่านางเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงรีบเตือนนาง และคำพูดของหนานลัวก็เป็นการเตือนพระสนมซู
ด้วยเหตุนี้พระสนมซูจึงเตือนว่า “ข้าไม่ได้มาเพื่อทำร้ายพวกเขา ข้าแค่ป่วย และข้าอยากจะขอให้หมอเทวดาผู้นี้รักษา ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนล่วงเกินที่สูง ไม่รู้ว่าเบื้องบนลงโทษอย่างไร?”
“แคว้นหนานโยวมีกฎเกณฑ์ หากล่วงเกินที่สูง จะต้องถูกตบปากร้อยครั้ง แต่หากร้ายแรง จะถูกจัดการอีกแบบหนึ่ง!” หนานลัวตอบ
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ พระสนมซูก็ยิ้มออกมา “เช่นนั้นหากนางล่วงเกินที่สูง ไม่เห็นพระสนมซูอย่างข้าอยู่ในสายตา เจ้าก็ต้องต้องตบปากนางมิใช่หรือ?”
“พระสนมซู นางมีสิทธิ์พูดถึงท่าน!” หนานลัวตอบ ในขณะที่สนมชูเยาะเย้ย “ข้าว่านะท่านเจ้ากรม เจ้ามีสิทธิ์พูดถึงข้า ข้ายังเชื่อ แต่นางหรือ? นางไม่ใช่คนของราชวงศ์ และไม่ใช่แม้แต่ขุนนางใด ๆ ในราชวงศ์!”
“ใครว่าข้าไม่ใช่ขุนนาง?” หนานเหยาหยิบแผ่นป้ายออกมาทันที และแผ่นป้ายนี้คือแผ่นป้ายที่หนานลัวเคยมอบให้นางก่อนหน้านี้
เห็นเพียงตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวเขียนอยู่บนแผ่นป้าย ‘ป้ายอวี้เจียน’
ทหารรักษาการณ์และพระสนมซูทั้งหมดก็ถึงกับตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมซูที่เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา “เหตุใดเจ้าถึงมีสิ่งนี้?”
“อันใดนะ? กลัวหรือ?” หนานเหยาเริ่มได้ใจ
แต่พระสนมซูกลับกระวนกระวาย “เมื่อห้าพันปีก่อน มีองค์หญิงผู้เชี่ยวชาญในการลงโทษความชั่วร้ายและส่งเสริมความดี ดังนั้นผู้ปกครองในเวลานั้นจึงมอบแผ่นป้ายหนึ่งให้ นั่นคือแผ่นป้ายอวี้เจียน สามารถควบคุมดูแลขุนนางทุกคน แต่เนื่องจากองค์หญิงหายตัวไป แผ่นป้ายนี้จึงหายไปนานแล้ว! เจ้ามีมันได้อย่างไร?”
หนานเหยาหัวเราะ “จะนับว่าองค์จักรพรรดิมอบให้ข้าก็ได้กระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้!” พระสนมซูตกตะลึง
แต่หนานลัวกลับกล่าวว่า “พระสนมซู ท่านออกไปดีกว่า!”
แม้ว่าพระสนมซูจะไม่รู้ว่าแผ่นป้ายมาอยู่ที่หนานเหยาได้อย่างไร แต่นางก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้และพูดว่า “เอาล่ะ พักเรื่องที่นางล่วงเกินเบื้องสูงไว้ก่อน รักษาอาการป่วยให้ข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ? ”
“การรักษาต้องขึ้นอยู่กับว่าท่านอาจารย์ของข้าเต็มใจหรือไม่!” หนานเหยาพลันเอ่ยอย่างโอ้อวด แต่พระสนมซูกลับมองไปรอบ ๆ และหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าจะให้เขาออกมารักษาข้า!”
หลังจากพูดจบ จู่ ๆ โซ่สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนเกี้ยว และพวกมันพุ่งไปยังบริเวณโดยรอบ จากนั้นโซ่สีดำเหล่านี้ก็กะพริบวิบวับ
ครู่ต่อมา ค่ายกลโดยรอบก็ดูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
คนผู้นี้ก็คือลู่เฉิน
เห็นเพียงลู่เฉินโบกมือ โซ่ทั้งหมดก็ตกลงพื้น จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เคล็ดวิชาโซ่วิญญาณทลายค่ายกล!”
ทหารรักษาการณ์ยืนคุ้มกันทันที ส่วนพระสนมซูที่อยู่ในเกี้ยวก็ยิ้มแปลก ๆ ออกมาทันทีที่เห็นลู่เฉินปรากฏตัว “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักเคล็ดวิชาโซ่วิญญาณทลายค่ายกลของข้า เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าสามารถทำลายค่ายกลของเจ้าได้!”
“เคล็ดวิชาโซ่วิญญาณทลายค่ายกลสามารถทำลายค่ายกลของข้าได้ แต่หากไม่มีโซ่เหล่านี้ เจ้าก็ไม่ใช่อันใดทั้งนั้น!” หลังจากลู่เฉินพูดจบก็โบกมือขึ้น โซ่เหล่านี้ก็พลันหลอมรวมกัน
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อลู่เฉินคว้าโซ่เหล่านี้ไว้ด้วยมือข้างเดียว ก็มีเสียงกรีดร้องแปลก ๆ ดังมาจากโซ่
ทุกคนต่างสับสน สงสัยว่าเสียงที่อยู่ภายในโซ่นั้นคืออันใด
หนานเหยามองดูด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น
ทว่าพระสนมซูกลับกรีดร้องอยู่บนเกี้ยว เห็นได้ชัดว่าการที่โซ่ขาดนั้นได้ส่งผลกระทบต่อนาง ดังนั้นนางจึงพูดด้วยความโกรธว่า “พ่อหนุ่ม ข้าจะสู้กับเจ้าให้ตายไปข้าง!”
จากนั้นสิ่งต่าง ๆ ก็พลันเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นฉากโดยรอบ สีหน้าของหนานเหยาก็ถึงกับเปลี่ยนแปลงไป “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”