ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 344 สนมเอกที่น่ากลัวยังอยู่ในวัง!
บทที่ 344 สนมเอกที่น่ากลัวยังอยู่ในวัง!
ชิงหลิงเอ๋อร์รายงานว่า “พวกเราพบร่องรอยของเขา แต่เขาเจ้าเล่ห์มากและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทว่าพวกเรายังคงยืนยัน หากทราบตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว ข้าจะรายงานท่านทันที”
“อืม เร็ว ๆ เข้าล่ะ” ลู่เฉินสั่ง
ชิงหลิงเอ๋อร์ตอบรับ “เจ้าค่ะ นายท่าน!”
จากนั้นลู่เฉินก็ดึงจิตกลับมาและตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด “ดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้ผู้ชิงรากวิญญาณคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!”
…
ในหมู่บ้านอู๋เสวี่ยยามนี้ คนเหล่านั้นอยู่ในความตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิงหั่วซาและหลิงสุ่ยซาที่รู้ว่าสองคนนี้ถูกจัดการด้วยกระจกนภาวิญญาณของลู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงพากันซักถามเฮยเม่ย
เฮยเม่ยพูดอย่างกระวนกระวายว่า “ผู้อาวุโส ข้าเคยพูดเรื่องของเขาแล้ว แต่พวกท่านไม่ใส่ใจ”
มู่ตู๋ซาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในขณะนี้นั่งสาปแช่งอยู่ตรงนั้น “พวกเจ้าไปล่วงเกินผู้ใดกันแน่?”
ถูอิ่นซาเองก็เอ่ยอย่างไม่สบายใจเช่นกัน “คราวนี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว!”
หลิงหั่วซารู้สึกหดหู่ใจ “อย่างน้อยร่างกายของพวกเจ้าก็ยังคงไม่บุบสลาย ดูซิว่าข้ากับเหล่าสุ่ยกลายเป็นอย่างไร”
จากนั้นทั้งสามก็บ่นออกมา แต่หลิงสุ่ยซากลับถามว่า “แล้วพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามล่ะ? มาหรือยัง?”
มู่ตู๋ซารู้สึกหดหู่ใจ “ทั้งสามคนบอกว่ามีธุระ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้มาที่นี่”
“แล้วจะทำอย่างไร?” หลิงสุ่ยซาพูดอย่างเคร่งขรึม
ถูอิ่นซาตอบว่า “ข้าแจ้งพวกเขาแล้ว แต่พี่ใหญ่และพี่รองมาไม่ได้ ดังนั้นจึงให้พี่สามมา และพี่สามก็ให้เราจับตาดูอีกฝ่ายไว้ อย่าให้หนีไปได้”
หลังจากที่ทุกคนเข้าใจแล้ว พวกเขาก็ขอให้เฮยเม่ยส่งคนไปจับตามองที่จวนหนานลัว ให้ความสนใจกับทุกการเคลื่อนไหวของลู่เฉิน และเฮยเม่ยก็ส่งเสียงตอบรับแล้วออกไปจากที่นั่นทันที
“คราวนี้เจ็ดมือสังหารอย่างพวกเราเสียหน้าแล้วจริง ๆ” หลิงสุ่ยซาพูดอย่างเคร่งขรึม และหลังจากที่อีกสามคนมองหน้ากัน หลิงหั่วซาก็ตะคอกออกมา “รอพี่สามมาเถิด พ่อหนุ่มนั่นจะต้องตายแน่นอน”
มู่ตู๋ซาส่งเสียงอืมแล้วเอ่ยว่า “ถูกต้อง เจ้าตัวเล็ก ๆ ของพี่สามสามารถเข้าใกล้เขาได้โดยไม่ส่งเสียง แล้วฆ่าเขาเสีย!”
ถูอิ่นซาหลับตาและทำสมาธิ “ข้าหวังว่าพี่สามจะมาถึงโดยเร็ว”
ทุกคนเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน
…
ภายในพระราชวัง
องค์จักรพรรดิได้พบกับเฮยเย่า และเฮยเย่าก็รายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
องค์จักรพรรดิพลันประหลาดใจ “อันใดนะ? คนหนึ่งขับไล่สี่คนของเจ็ดมือสังหาร?”
เฮยเย่าตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ!”
“ค่อย ๆ พูด เกิดอันใดขึ้น?” องค์จักรพรรดิรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และเฮยเย่าก็เริ่มเล่าออกมา จนกระทั่งองค์จักรพรรดิพูดด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ยิน “มันไม่ธรรมดาเลย”
แม้แต่เซวียจินที่อยู่ด้านข้างก็สั่นสะท้าน “ถ้าข้าพบเขา ข้าจะไม่ถูกเล่นงานจนตายหรือ?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เฮยเย่าตัวสั่น “ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
องค์จักรพรรดิตรัสอย่างจริงจังว่า “น่ากลัวมาก”
เฮยเย่าและเซวียจินมองหน้ากันแล้วนิ่งไป ส่วนองค์จักรพรรดิก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เฮยเย่า เจ้าจงกลับไปปกป้องจวนหนานลัวอย่างลับ ๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเฮยเย่าจากไป องค์จักรพรรดิก็มองไปที่เซวียจินอีกครั้ง “เจ้าพบคนพวกนั้นหรือยัง?”
“มีข่าวบางอย่าง แต่กว่าที่พวกเขาจะมาถึงพระราชวังต้องใช้เวลาอีกสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ” เซวียจินรายงาน และองค์จักรพรรดิก็ตรัสว่า “เร็วเข้า ทางที่ดีที่สุดต้องเรียกทุกคนมา และส่งมอบให้เขาภายในไม่กี่วันนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซวียจินส่งเสียงตอบรับแล้วจากไป ส่วนองค์จักรพรรดิก็ตรัสอย่างซาบซึ้งว่า “มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
…
ทว่าหลังจากได้ยินรายงานของเฮยเม่ยแล้ว พระสนมอู่ที่อยู่ในวังก็โกรธจัดจนขว้างโต๊ะน้ำชา ก่อนจะเอ่ยสาปแช่งว่า “เจ้าพวกนี้หยิ่งผยองเกินไปแล้ว!”
“โทษพวกเขาไม่ได้ ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าหนุ่มนั้นจะสร้างค่ายกล ทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยมแปลก ๆ มากมาย” เฮยเม่ยอธิบาย และพระสนมอู่ก็ไม่อยากได้ยินเรื่องนี้ ได้แต่ถามกลับว่า “ต่อไป แผนของพวกเขาคืออันใด?”
“พวกเขาอีกสามคนยังไม่ว่าง แต่ส่งคนที่สามไปแล้ว ว่ากันว่าท่าทางไม่ธรรมดา”
“เหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่อยู่ด้วยกัน? หรือว่าไม่กลัวเจ้าหนุ่มนั่นจะกำจัดพวกเขา?” พระสนมอู่พูดด้วยความโกรธ แต่เฮยเม่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “น่าจะไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง”
“ไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าหนุ่มคนนี้” พระสนมอู่เกือบคุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น เฮยเม่ยจึงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจับตามองต่อไป และเตรียมพร้อมช่วยเหลือพวกเขาทุกเมื่อ”
“ไปเถิด”
หลังจากที่พระสนมอู่พูดจบ เฮยเม่ยก็จากไปทันที และใบหน้าของพระสนมอู่ก็ดูไม่ได้ ในขณะที่องค์ชายเจ็ดก็รู้สึกย่ำแย่
ทว่าครั้นตกกลางคืน กลุ่มคนภายนอกก็เข้ามาที่ลานของพระสนมอู่
ผู้นำนั่งบนเกี้ยวสีดำและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระสนมอู่ เจ้าอยู่หรือไม่?”
เสียงนี้เป็นเสียงของสตรี ส่วนพระสนมอู่ได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง “เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
องค์ชายเจ็ดตรัสอย่างขึงขัง “เสด็จแม่ นางคงไม่ได้มาหัวเราะเยาะท่านหรอกนะ?”
“สตรีผู้นี้กักตัวอยู่ตลอดมิใช่หรือ?” พระสนมอู่เองก็ฉงนเช่นกัน ส่วนสตรีที่นั่งอยู่บนเกี้ยวข้างนอกก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันใดนะ? ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ?”
“พระสนมซู ข้าไม่รู้ว่าลมอันใดหอบเจ้าออกจากการกักตน?” พระสนมอู่เดินออกมา มองไปยังเกี้ยวที่อยู่ในลานด้วยรอยยิ้ม
ผู้ที่อยู่บนเกี้ยวคือพระสนมซู มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายรอง
ได้ยินเพียงเสียงนางหัวเราะและพูดว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์ชายของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องออกมาดู ข้าไม่คิดว่าจะมีอันใดมากมายเกิดขึ้นในพระราชวัง”
“เจ้ามาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับข้าหรือ?” พระสนมอู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอันใด ในขณะที่พระสนมซูยิ้ม “ข้าอยากคุยกับเจ้า”
“คุยอันใด?”
“ไม่เชิญข้าเข้าไปข้างในหรือ?”
“เข้ามาเถิด” พระสนมอู่อารมณ์เสียเล็กน้อย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของนาง หากนางมีสหายเพิ่มอีกหนึ่งคน ก็คงดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคน คิดได้ดังนั้นนางจึงเปิดประตู
ร่างหนึ่งกระโจนออกจากเกี้ยวและพุ่งเข้ามาในเรือนทันที
พระสนมอู่ขมวดคิ้ว “เจ้าเข้ามาอย่างนี้หรือ?”
“ไม่มีทางเลือก ข้าไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ชอบเลยสักนิด” พระสนมซูหัวเราะ ขณะที่พระสนมอู่พูดอย่างเคร่งขรึม “บอกข้ามา คืนนี้เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้าอยากรู้ว่าใครคือคนที่ขุดหลุมองค์ชายของข้า และทำให้เขาถูกประกาศจับ”
“จะเป็นใครได้อีกล่ะ? แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” พระสนมอู่โกรธเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในขณะที่พระสนมซูยิ้ม “บอกข้าทีว่าเขามีต้นกำเนิดอย่างไร? เหตุใดถึงทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัดวุ่นวาย?”
“เจ้ารู้แล้วยังจะถามข้าอีก?” พระสนมอู่ไม่รู้ว่าสตรีคนนี้มาหัวเราะเยาะตนหรือมาเสียเวลาเล่น ๆ กันแน่
“ข้าเพิ่งได้ยินว่าเขาสร้างความวุ่นวายให้กับแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด แต่ข้าไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับภูมิหลังของเขา ดังนั้นข้าจึงมาถามเจ้าเพื่อดูว่าเราจะสามารถปรึกษาและจัดการเขาด้วยกันได้หรือไม่” พระสนมซูพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พระสนมอู่ก็ฟื้นคืนสติ “เจ้ามีวิธีจัดการกับเขาหรือ?”
“อันใดนะ? ข้านึกว่าพวกเจ้าเพิ่งส่งเจ็ดมือสังหารแห่งแดนทักษิณาที่แข็งแกร่งไปเสียอีก?” พระสนมซูหัวเราะเยาะ ส่วนพระสนมอู่ได้ยินสิ่งนี้ก็ฉีกยิ้ม “อันใด? หรือว่าพระสนมซูคิดจะออกจากภูเขา?”
พระสนมซูยิ้ม “ครั้งหนึ่งข้าเคยสัญญากับองค์จักรพรรดิไว้ว่าข้าจะกักตนและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันใด แต่เงื่อนไขคือลูกชายของข้าจะต้องไม่ถูกรังแก ทว่ายามนี้มีคนมารังแกลูกชายข้าและถูกประกาศจับ ดังนั้นข้าจึงออกจากภูเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พระสนมอู่ก็ยิ้มออกมาทันทีและพูดว่า “เจ้าวางแผนที่จะขอให้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมารช่วยหรือ?”
“เพื่อจัดการกับเขา? มีแค่กำลังของข้าก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องไปยุ่งกับแดนศักดิ์สิทธิ์สยบมารด้วย” พระสนมซูพูดอย่างมั่นใจ
“พระสนมซู ข้าไม่ได้ทำให้เจ้ากลัว เจ้าหนุ่มนั่นต่างหากที่ไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด!” พระสนมอู่เอ่ยขู่ แต่พระสนมซูกลับพูดว่า “บอกข้ามาเถิด บอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ ยิ่งละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ข้าถึงจะรู้วิธีจัดการกับเขา!”
พระสนมอู่คิดว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีคนช่วยจัดการลู่เฉินให้ตน ดังนั้นนางจึงเล่ารายละเอียดให้ฟัง
ส่วนพระสนมซูก็ยิ้มหลังจากได้ยิน “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ข้าจะไปที่จวนหนานลัว และพบกับหมอเทวดาผู้นี้!”
หลังจากพูดจบ เกี้ยวก็พลันหายไป และกลุ่มคนข้างนอกก็หายไปท่ามกลางความมืดมิด
องค์ชายเจ็ดตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ พระสนมผู้นี้ดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!”
“น่ากลัวก็ดี ปล่อยให้พวกมันสู้กันจนตายไปเถิด!” พระสนมอู่เย้ยหยัน