ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 134 ใช้ค่ายกลภูตผีสร้างเรื่องยุ่งยาก? ช่างน่าขันเสียจริง!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 134 ใช้ค่ายกลภูตผีสร้างเรื่องยุ่งยาก? ช่างน่าขันเสียจริง!
บทที่ 134 ใช้ค่ายกลภูตผีสร้างเรื่องยุ่งยาก? ช่างน่าขันเสียจริง!
“อืมมมม” ชิวเอ้อพยักหน้ารับ ในหัวพลันครุ่นคิด
“จับภูตผีพวกนี้ไปทำอันใด?” ลู่เฉินถามย้ำ รู้สึกว่าหมู่บ้านนี้มีความลึกลับมากเกินไป
ชิวเอ้อรู้สึกลำบากใจทันที “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริง ๆ พวกเรามีหน้าที่เพียงแค่จับภูตผีกลับไป จากนั้นจึงจะได้รับรางวัล”
“รางวัล?”
“ใช่ มีเม็ดยาที่ช่วยการฝึกฝนในวิถีภูตผี เมื่อจับภูตผีได้มาก รวมทั้งหากที่จับมาเป็นภูตผีที่แข็งแกร่ง พวกข้าก็จะได้รับรางวัลมากขึ้น” เมื่อชิวเอ้อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันฉีกยิ้มออกมา
ส่วนลู่เฉินก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
แต่เมื่อเดิน ๆ ไป ก็คล้ายกับว่าชิวเอ้อจะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ไอภูตผีมากมายเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่เกิดผลกระทบกับท่านเลย?”
“ไอภูตผีเพียงเท่านี้ มันไม่เป็นอะไรสำหรับข้าหรอก” ลู่เฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
ทางด้านชิวเอ้อที่ได้ยิน ตอนแรกเจ้าตัวก็รู้สึกประลาดใจ ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ ๆ เส้นทางเบื้องหน้าพวกเขาก็พลันหายไป!
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชิวเอ้อตกใจจนหันมองกลับไป ทว่าเส้นทางด้านหลังก็หายไปเช่นกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้…. พวกเขากำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผา ไร้ซึ่งหนทางไปต่อ!!
“แย่แล้ว…” ชิวเอ้อมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เกิดอันใดขึ้น?” ลู่เฉินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวอะไร
ชิวเอ้อจึงชี้นิ้วไปบริเวณรอบ ๆ “ค่ายกล… ค่ายกลภูตผี!”
ลู่เฉินมองตามปลายนิ้วอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเห็นค่ายกลจำนวนไม่น้อยโดยรอบ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ค่อยสนใจพวกมันเท่าใดนัก ไม่แม้กระทั่งจะตื่นตระหนก
แต่ชิวเอ้อกลับยังคงกังวลใจอยู่ “ข้าได้ยินมาว่ารอบ ๆ นี้มีค่ายกลภูตผีเยอะมาก แต่โดยปกติจะปิดไว้ ทว่าตอนนี้กลับเปิดออกมา… หมายความว่า”
“หมายความว่าเช่นไร?”
“หมายความว่านายท่านผู้พิทักษ์ได้ทำการเปิดใช้งานค่ายกลแล้ว และนางก็ต้องการที่จะแก้แค้นพวกเรา!” พูดจบ ชิวเอ้อก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
ทว่าลู่เฉินกลับนิ่งเฉยไม่ตื่นกลัว ก่อนที่ในจังหวะนั้น เงาของหญิงสาวจะลอยขึ้นมากลางอากาศใกล้ ๆ หน้าผานี้
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ รอบกายนางเต็มไปด้วยไอภูตผี
“ส่งตัวเองมายังหน้าถ้ำเสือแล้ว?” หญิงสาวนางนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากข้าไม่เข้าถ้ำเสือ เช่นนั้นข้าจะได้ลูกเสือได้อย่างไร?”
หญิงสาวลึกลับที่ได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่า… เจ้าจะอยากตายมาก!!”
“การที่ข้ามาที่หน้าประตูก็คืออยากตายงั้นหรือ?” ลู่เฉินย้อนถาม
หญิงสาวผู้นั้นถามกลับมาทันที “ชุมนุมแห่งนี้ รับเพียงแค่คนสามประเภทเท่านั้น เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
“โอ้? ว่ามาสิ!”
“ผู้ฝึกวิถีภูตผี และภูตผี ส่วนประเภทที่สามนั้น… คือคนตาย” ขณะที่อีกฝ่ายพูดถึงคนตาย น้ำเสียงก็คล้ายจะเน้นย้ำถึงประเภทที่สามนี้เป็นพิเศษ
ทว่าลู่เฉินก็เพียงยิ้มและกล่าวว่า “ข้าคงไม่ตายง่าย ๆ เช่นนั้น”
หญิงสาวผู้นั้นจึงกลับตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้ำเสียงเจ้านี่มัน…. จองหองนัก!”
“จองหอง? ข้าคิดว่าข้ายับยั้งใจแล้วนะ!”
ขณะที่หญิงสาวมองมายังลู่เฉิน นางก็คล้ายไม่อาจสะกดกลั้นโทสะได้อีก หญิงลึกลับตวาดลั่นทันทีว่า “เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของค่ายกลนี้!”
จากนั้นรอบกายนางก็ปรากฏภูตผีออกมานับไม่ถ้วน
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าภูตผีเหล่านี้มีนัยน์ตาแดงก่ำสะดุดตา อีกทั้งท่าทางการเคลื่อนไหวยังแปลกพิกล คล้ายกับ… คนบ้า!
ชิวเอ้อตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ภูตผีพวกนี้ พวกมันกำลังจะคลุ้มคลั่ง!”
“ไม่เป็นอะไร!”
ชิวเอ้อที่เห็นว่าลู่เฉินไม่ได้รู้สึกแยแสกับปัญหาร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น เขาจึงกล่าวออกมาว่า “ภูตผีที่คลุ้มคลั่งพวกนี้มีการโจมตีที่รุนแรง พวกมันสามารถทำให้จิตใจเหยื่อบอบช้ำหรือถูกทำลายอย่างง่ายดาย!”
“แข็งแกร่งมากนักหรือ? ข้าไม่เห็นจะรู้สึกเช่นนั้นเลย” เมื่อลู่เฉินพูดจบ เขาก็ไม่แสดงท่าทีอะไรอีก
ชิวเอ้อที่เห็นท่าทางนิ่งเฉยของชายหนุ่มไม่อาจระงับความกลัวได้อีก เขาพูดเสียงดังทันทีว่า “ภูตผีพวกนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกวิถีพุทธเลย แม้แต่ผู้ฝึกวิถีภูตผีก็ไม่สามารถต้านทานได้!”
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินยังคงเฉยเมยต่อไป ทำให้ชิวเอ้อที่หวาดกลัวหันไปร้องขอหญิงสาวผู้นั้นแทน “นายท่าน ข้า…”
“เจ้าพาคนนอกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นหมายความว่าเจ้าทรยศพวกเราแล้ว!” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
ชิวเอ้อพลันตื่นตระหนกขึ้นมา เพราะภูตผีคลุ้มคลั่งพวกนั้น…. เริ่มลงมือแล้ว!!
พวกมันพากันลอยเฉียดไปเฉียดมา ปากก็เปล่งเสียงแปลก ๆ คล้ายคร่ำครวญผสมโกรธเคือง ก่อนที่พวกมันจะอาศัยจังหวะที่ทุกคนยังคงนิ่งเฉยไม่ทันระวัง พุ่งทะยานเข้าไปทางด้านหลังของลู่เฉิน!
เนื่องจากภูตผีพวกนี้มีความคล้ายกับเงา ดังนั้นมันจึงสามารถโจมตีทะลุผ่านกายเนื้อได้ ทำให้ร่างของมันสามารถทะลุผ่านเข้าไปโจมตีจิตวิญญาณของลู่เฉินได้โดยตรง!
แต่สิ่งที่ทำให้ภูตผีคลุ้มคลั่งพวกนี้คาดไม่ถึงก็คือ เมื่อร่างเงาของมันสัมผัสกับลู่เฉิน กลับเป็นฝั่งของพวกมันเองที่ร่ำไห้เสียงดังออกมา ก่อนที่จะพากันหลบหนีไปอย่างแตกตื่น!
ชิวเอ้อและหญิงสาวในม่านหมอกต่างก็แปลกใจกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางกล่าวว่า “บนร่างกายของเจ้ามีสมบัติวิญญาณป้องกันร่างกาย?”
สมบัติวิญญาณป้องกันร่างกาย?
ลู่เฉินย่อมไม่มี แต่เขาก็คร้านเกินกว่าจะอธิบาย จึงเพียงแค่ยิ้มออกมา “ไม่ว่าจะคืออะไร เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้!”
“ฮึ! อย่าหยิ่งผยองให้มากนัก นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ดื้อรั้นมากแค่ไหน
จากนั้นพวกเขาก็เห็นนางหยิบขลุ่ยออกมา ก่อนจะเริ่มเป่า!
เสียงนี้ทำให้ภูตผีคลุ้มคลั่งบ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิม พวกมันลืมเลือนความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ และพากันพุ่งโจมตีอีกครั้งโดยไม่รอช้า!
แต่ใครจะคาดคิดว่าเมื่อภูตผีพวกนี้เผชิญหน้ากับลู่เฉิน ชายหนุ่มจะใช้ออกด้วยคำสาปภูตผี! เพียงพริบตาเดียวโซ่ตรวนนับไม่ถ้วนก็ออกมาจากร่างกายและล้อมรอบภูตผีพวกนี้ไว้
ซึ่งผลของมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ภูตผีเหล่านั้นเจ็บปวดจนดิ้นรนไม่หยุด
ชิวเอ้อตกตะลึงทันที “แข็ง… แข็งแกร่งมาก”
หญิงสาวผู้นั้นก็ตกตะลึงทำตัวไม่ถูก ก่อนเป็นลู่เฉินที่ฉีกยิ้มพลางจ้องมองนาง “ยังจะลงมือต่อหรือไม่?”
“แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!” หญิงสาวผู้นั้นเริ่มรู้สึกว่าลู่เฉินไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว
“ข้าคือใครไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ หมู่บ้านของพวกเจ้าจับภูตผีไปทำอันใด? แล้วยังมีต้นไม้ผีนั่นอีก เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องคอยเลี้ยงดูมัน? ทั้งยังเลี้ยงไว้ที่เขตหนึ่ง …ที่แท้มันเพราะอะไรกัน?”
“สำหรับคำถามพวกนี้…” น้ำเสียงนางชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่ออย่างเย็นชา “ข้าไม่มีทางบอกเจ้าหรอก!”
“แต่หากเจ้าไม่ตอบคำถามข้า ข้าก็คงทำได้เพียงแค่ลงเหวนี้ไปหาพวกเจ้าด้วยตนเอง” ลู่เฉินยิ้ม
“รอบ ๆ นี้มีค่ายกลภูตผีนับไม่ถ้วน เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถลงไปได้อีกหรือ?”
“เพียงค่ายกลเล็ก ๆ พวกนี้ …ไม่มีอะไรให้ข้าต้องกลัวแม้แต่น้อย!!”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็พลันยิ้มออกมา ทั้งยังเยาะเย้ยว่า “เพียงแค่ค่ายกลเล็ก ๆ? เจ้านี่ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง!”
แต่ใครจะคาดคิดว่าลู่เฉินกลับมองไปยังชิวเอ้อที่กำลังหวาดกลัวอยู่แล้วกล่าวว่า “ตามข้ามา ไม่เช่นนั้นจะหลงทางเอาได้!”
“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไร?” ชิวเอ้อไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ขณะนั้นเอง ลู่เฉินกลับเดินตรงไปยังหน้าผา ราวกับว่ากำลังจะกระโดดลงไป
ภาพนี้ทำให้ชิวเอ้อหวาดกลัวยิ่งนัก “จะ …จะกระโดดลงไปจริงหรือ!”
แต่เมื่อเท้าของลู่เฉินก้าวออกไป จู่ ๆ พื้นก็ปรากฏออกมาที่ใต้เท้า!
ชิวเอ้อตกตะลึงขึ้นมา ก่อนที่หญิงสาวผู้นั้นจะกล่าวเสียงดัง “มันก็แค่โชคดีเท่านั้น หากเดินไปอีกก้าว เจ้าไม่รอดแน่!”
“ข้าไม่รอด? เช่นนั้นเจ้าจงดูให้ดี!”
พูดจบ ลู่เฉินจึงเดินต่อไป เขาย่างก้าวช้า ๆ อยู่บนหน้าผา และทุกก้าวเดินนั้นก็ได้ปรากฏพื้นรองรับอยู่ภายใต้ฝ่าเท้า
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ชิวเอ้อตะลึงไป ก่อนที่เขาจะได้สติและรีบเดินตามไปทันที
หญิงสาวผู้นั้นเองก็ตกตะลึง นางเอ่ยถามทันทีว่า “เจ้า… เหตุใดจึงรู้ว่าต้องเดินเช่นไร?”
“ข้าบอกแล้ว ค่ายกลเล็ก ๆ พวกนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก” ลู่เฉินยิ้ม
ซึ่งมันก็ได้ไปกระตุ้นโทสะของหญิงสาว นางกล่าวด้วยความโมโหว่า “หลังจากนี้ยังมีค่ายกลที่แข็งแกร่งรออยู่อีก ที่นั่นเจ้าไม่รอดแน่!”
สิ้นเสียงนั้น หญิงสาวก็หายตัวไปเสียแล้ว
ชิวเอ้อที่กังวลใจจ้องไปยังลู่เฉิน ก่อนจะถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่าน รู้จริง ๆ หรือว่าเส้นทางนี้ต้องเดินเช่นไร?”
“เจ้าตามข้ามาก็พอแล้ว”
ชิวเอ้อขานรับ ขณะที่ในใจก็กำลังกังวล เพราะว่าตนเองทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ขุ่นเคืองใจเสียแล้ว! “หลังจากนี้คงไม่สามารถกลับมาฝึกฝนในที่แห่งนี้ได้อีก!”
“หมู่บ้านนี้ดีขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ไอภูตผีที่นั่น อย่างน้อยก็หนาแน่นมากกว่าภายนอกถึงสิบเท่า และยังมีเม็ดยาสำหรับฝึกฝนวิถีภูตผีอีก ฝึกฝนที่นั่นเพียงหนึ่งปี มันก็เทียบได้กับฝึกฝนภายนอกเป็นเวลาสิบกว่าปีหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว!”
ลู่เฉินพยักหน้า “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเสียจริง”
“แต่ตอนนี้…” ชิวเอ้อรู้สึกผิดหวัง
แต่ลู่เฉินกลับยิ้มออกมา “ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะยังสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้”
“เป็นเช่นนี้แล้ว ข้ายังอยู่ต่อได้? หากพวกเขาไม่ฆ่าข้าทิ้งก็คงไม่ใช่แล้ว”
“เพียงแค่มีข้าอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้!” จบประโยคนี้ของลู่เฉิน มันก็ทำให้ชิวเอ้อคิดว่าชายหนุ่มเพียงแค่พูดโอ้อวดเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วลู่เฉินก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในหมู่บ้าน พวกเขายังจะรอดกลับไปได้หรือ?