ซ้อจำเป็น - ตอนที่ 5
บทที่ 5
“พี่หวาน เอากระถางต้นไม้อันนี้ไปวางไว้ตรงมุมข้างทีวีทีนะ แล้วย้ายกระถางนั้นไปไว้มุมหน้าประตูบ้านเวลาเดินเข้ามาจะได้เห็นต้นไม้ สบายตาดี”
“ได้ค่ะคุณคับฟ้า”
หญิงสาวอายุที่พึ่งจะแตะเลขสามเข็นรถเข็นที่บรรจุกระถางต้นไม้สีขาวขนาดกลางเดินวนรอบบ้านตามหลังผมมาเพื่อวางสิ่งที่เข็นอยู่นั้นไว้ตามจุดที่ผมบอกมาเป็นเวลานานนับชั่วโมง และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ บ้านที่ถูกตีตราจองระหว่างผมกับชายร่างสูงที่กำลังยืนกอดอกชี้นิ้วสั่งพนักงานเฟอร์นิเจอร์ทยอยขนของเข้าบ้านมาจากห้างดัง
ผมยืนลอบมองแผ่นหลังกว้างนั้น ท่วงท่าที่อยู่กับบุคคลภายนอกช่างดูสุขุม เฉียบขาดและดุดันซึ่งแตกต่างจากตอนอยู่กับผมสิ้นเชิง สายตาที่ทอดมองแผ่นหลังกว้างนั้นโดยไม่รู้ตัวจนสายตาคมคู่นั้นตวัดหันกลับมามองทำให้ผมสะดุ้งไม่น้อย เมื่อรู้ว่าถูกจับได้ผมจึงจึงรีบหันตัวเองเดินไปทางอื่นพร้อมกับถือกระถางต้นไม้ขนาดเล็กเดินไปวางไว้บนโต๊ะกระจกใสหน้าทีวีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณขุนศึกคะ วันนี้จะให้หวานเตรียมอาหารเย็นอะไรดีคะ หวานจะได้เตรียมของและลงมือทำให้ค่ะ”
พี่หวานเดินตรงเข้าไปหาขุนศึกแล้วเอ่ยถามเมื่อเจ้าตัวกำลังเดินเข้ามาโอบกอดเอวผมที่ยืนหันหน้าเข้าหาทีวี แรงกระชับกอดจากด้านหลังมันทำให้ตัวผมสะดุ้งและพยายามออกแรงดิ้นจากการเกาะกุมจากคนด้านหลัง
“ไม่ต้อง เดี๋ยววันนี้ภรรยาฉันจะจัดการเอง ต้อนรับวันขึ้นบ้านใหม่ของเราสองคน ใช่ไหมครับคุณภรรยา”
แก้มสากจากเคราของร่างสูงที่กำลังกอดผมทางด้านหลังถือวิสาสะยื่นหน้ามาแนบชิดแก้มของผมและก้มลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่ การแสดงละครกำลังเล่นตบตาให้สาวใช้คนสนิทผมเห็น การแสดงฉากของข้าวใหญ่ปลามันอย่างนั้นหรือ
ขนลุกดีไม่น้อย…
พี่หวานที่เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับเขินแก้มแดงเป็นลูกตำลึงแล้วเดินหนีหายออกไปเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับเจ้านายอย่างพวกผม เมื่อสาวใช้ประจำบ้านเดินลับหายขึ้นไปชั้นสองศอกผมก็กระทุ้งใส่หน้าท้องแข็งด้านหลังทันที แต่เสียดายที่เจ้าตัวหลบทันจึงทำให้ผมกระทุ้งศอกใส่อากาศแทน
“ไวเชียวนะครับคุณภรรยาป้ายแดง แต่ขอโทษนะกูไวกว่า”
คนตรงหน้ายืนกอดอกพร้อมใช้ลิ้นกระทุ้งแก้มด้วยสีหน้าที่กวนอวัยวะช่วงล่างไม่น้อย ผมไม่เคยพบเคยเจอกับผู้ชายประเภทไหว้หน้าหลังหลอกแบบนี้มาก่อน อากงอาม่าทำไมถึงมองผู้ชายแบบนี้ว่าดีนักดีหนาคับฟ้าคนนี้อยากจะรู้นักว่าทำไมถึงหูหนวกตาบอดกันไปหมด
“อย่าแม้แต่จะแตะต้องตัวกู ไม่ชอบ”
ในจังหวะที่ผมเผลอขุนศึกจึงพยายามโน้มตัวเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังอีกครั้ง แต่มีหรือว่าคราวนี้ผมจะช้า ถึงแม้ความเร็วผมจะเป็นรองแต่ประสาทสัมผัสผมมักไวเสมอ
“รังเกียจหรือไง คนเป็นผัวเป็นเมียกันจะมาทำท่ารังเกียจอะไรกันเล่าคนกันเองทั้งนั้น”
ร่างสูงตรงหน้าค่อย ๆ ย่างเท้าเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นส่วนเท้าสองข้างของผมก็เดินถอยหลังจนชิดกับขอบโต๊ะวางทีวี ใบหน้าดุดันแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ฉายแววพึงพอใจไม่น้อย เพราะสามารถทำให้ผมรู้สึกประหม่าได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะผมหมดหนทางหนีใบหน้าจมูกคมสันได้รูปจึงก้มลงมาแบ้วเลื่อนหน้าเข้าหาผมจนปลายจมูกของเราแทบจะชิดกัน
“บางคู่ป่านนี้ยังไม่ลุกออกจากเตียงเลยมั้ง แล้วคุณภรรยาป้ายแดงอยากเป็นเหมือนคู่อื่นบ้างไหมล่ะครับ สามีจะได้จัดให้ซะตอนนี้เลย”
“…!”
มุมปากหนายกยิ้มด้วยความสะใจเมื่อตัวเองนั้นเป็นฝ่ายชนะในยกนี้ ขุนศึกที่กำลังยืนพูดปั่นประสาทผมจนสำเร็จก็เตรียมตัวหันหลังเดินล้วงกระเป๋าไปจัดของในโซนอื่นต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข ความหงุดหงิดสุมในทรวจอกจึงทำการยกขาขวายื่นออกสุดแรงเพื่อถีบเข้าไปบริเวณก้นของเจ้าตัวต้นเหตุในการปั่นอารมณ์ผม
“อึ่ก!”
หนุ่มนักธุรกิจมาดเท่ห์ชื่อดังหลายพันร้าน ผู้คนต่างเกรงขามและสยบยอมให้ได้เพียงสบตาเข้ากับคู่นั้น แต่หากตอนนี้กลับหัวขม่ำลงกับพื้นกระเบื้องช่างเป็นภาพที่คู่ควรแก่การถ่ายเก็บไว้เสียเหลือเกิน หากผมนำภาพเหล่านี้ขายต่อให้กับสื่อบันเทิงคงได้เงินไม่น้อย เสียงครวญครางเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินผมจึงถือช่วงจังหวะนี้เดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ผู้เป็นสามีอย่างเป็นทางการได้ไม่กี่วันด้วยความสะใจ
“แต่บางคู่ที่ว่ามันไม่ใช่มึงกับกูไงครับ คุณสามีที่รัก คราวหลังอย่ามากวนประสาทตอนเช้าอีก!”
สายตาผมหลุบต่ำมอง่างที่นอนคว่ำไม่ไหวติงใด ๆ ก่อนจะพาตัวเองเดินผ่านบุคคลที่ชอบปั่นประสาทผมตั้งแต่ยังไม่ครบวัน แต่ในจังหวะที่จะก้ามข้ามผ่านด้วยความไม่ทันได้ระวังตัวหรือชะล่าใจก็เป็นได้ที่ไม่ทันนึกว่าไอ้ตัวที่นอนอยู่ด้านล่างจะแอบกัดผมย้อนหลัง
“เฮ้ย!”
“เสียงดีจังเลยนะคับฟ้า เสียงดีขนาดนี้มาครางให้กูฟังซะคืนนี้เลยดีไหม ประเดิมบ้านใหม่ห้องใหม่ ในฐานะสามีภรรยา! ”
แขนผมถูกกระตุกให้ปะทะกับตัวขุนศึกจนทำให้ร่างผมนั้นนอนราบลงไปกับพื้น เมื่อขุนศึกเห็นว่าผมเสียหลักก็สบโอกาสพลิกตัวเองขึ้นมาคร่อมตัวผมทันทีและสายตาเจ้าเล่ห์นี้ก็ได้ฉายแวววับมาให้ สายตาที่บ่งบอกว่าสิ่งพูดเมื่อครู่ไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
“ไม่ กู ไม่ชอบกินของร่วมกับคนอื่น ”
ผมตอบเสียงเรียบและไร้ซึ่งการขัดขืนเพราะผมรู้ตัวเองดีหากเกิดดิ้นไปมันจะยิ่งเป็นผลดีให้ขุนศึกมากขึ้น สายตาคมกริบตรงหน้าเอาแต่จับจ้องมองมายังผมเพื่อสำรวจทุกอณูผิว ดวงตาของขุนศึกที่ไล่มองอยู่ดันเป็นผมเสียเองที่รู้สึกไม่ชินกับสายตาที่มองผมอย่างโจ่งแจ้งและมันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า
การใกล้ชิดกับขุนศึกเป็นสิ่งที่ผมควรหลีกเลี่ยง…
“ร่วมกันยังไง เอากันต่างที่ ต่างเวลา สำหรับกูไม่นับร่วมหรอก…”
“…”
“เพราะกูเรียกแบ่งกันใช้อย่างทั่วถึง…หึ”
“…!”
ประโยคที่ฟังแล้วยิ่งรังเกียจระบบความคิดของผู้ชายที่ชื่อว่าขุนศึกคนนี้ที่สุด หัวคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ การที่นอนกับใครก็ได้แบบนี้มันสนุกมากหรือไงกัน ผู้ชายตรงหน้าผมมันมีสมองคั่นหูแค่นั้นใช่หรือไม่
“ทุเรศ มึงมันคิดได้ทุเรศชิบหาย!”
ผมอาศัยช่วงจังหวะที่ร่างสูงเผลอยกเข่าหน้ากระทุ้งเข้าบริเวณเป้ากางเกงด้วยแรงทั้งหมดที่มี เมื่อเจ้าตัวโดนผมกระทำถึงกับอ้าปากอ้างหน้าตาแดงก่ำขดตัวงอลงพื้นด้วยความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับขุนศึกผมจึงรีบลุกขึ้นออกจากร่างตรงหน้าและทรงตัวให้ตรงเพื่อตั้งหลักระวังไม่ให้โดนฉุดลงพื้นเป็นรอบที่สอง
“อึ่ก!…อึ่ก!”
“ให้กูไปเอากับหมายังดีกว่าเอากับมึงเลยขุนศึก!”
ถึงจะเจ็บแค้นยังไงผมก็ไม่สามารถตะโกนด่ามันสุดเสียงได้เพราะพี่หวานและคนงานจากบ้านใหญ่อยู่กันไม่ต่ำกว่าห้าคน ถ้าผมสติแตกขึ้นมาเดี๋ยวอากงกับอาม่ารวมทั้งป๊าม๊าทั้งสองบ้านจะตื่นตระหนกจนพาลเป็นเรื่องใหญ่กันเสียเปล่า ๆ
.
.
.
.
.
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจัดของในบ้านหลังใหม่ถึงแม้ตัวผมไม่ใช่คนออกแรงก็เถอะ แต่ยืนสั่งชี้นิ้วมันก็ทำให้ผมเหนื่อยล้าไม่น้อย และตอนนี้ผมก็กำลังยืนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ในครัวหากจะสั่งมากินเองก็ย่อมได้แต่มื้อนี้ผมรู้สึกอยากลองทำกับข้าวด้วยตัวเองเสียมากกว่าซื้ออาหารสำเร็จรูปกิน
“เทน้ำลงไปก่อนแล้วตามด้วยกระเทียมสับกับพริก…”
ผมยืนอ่านวิธีทำเมนูผัดกะเพราบนหน้าจอโทรศัพท์ ต้องบอกก่อนว่าผมทำกับข้าวไม่ค่อยจะเป็นแต่ก็เคยลงมาช่วยห้องครัวบ้างเป็นบางครั้งเลยพอจะจับเครื่องไม้เครื่องมือเป็นบ้างแต่ไม่ชำนาญเท่าไหร่นัก และครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าครัวอย่างจริงจังในชีวิต
“ตามด้วยหมูสับแล้วก็ปรุงรสงั้นหรอ ก็ไม่ยากนี่หว่า”
ผมพึมพรำพูดกับตัวเองในขณะที่มือก็ผัดสิ่งที่อยู่ในกระทะไปด้วย เย็นนี้ผมเลือกทำเมนูผัดกะเพรากับไข่ดาวซึ่งเป็นเมนูง่าย ๆ ที่ผมสามารถทำได้และมันก็ไม่ได้ใช้วัตถุดิบเยอะอะไร ซึ่งก่อนที่พี่หวานจะกลับเข้าบ้านใหญ่ก็ได้อัดของไว้ให้ผมเต็มตู้เย็นเพราะเป็นคำสั่งบัญชาการจากม๊าผมนั่นเองที่วันนี้ไม่สามารถเข้ามาหาผมได้ เนื่องจากมีนัดไปดูพื้นที่กับครอบครัวขุนศึกทางภาคใต้ตั้งแต่เมื่อวาน ดูท่าทางทุกคนจะดูมีความสุขกันมากเพราะยังไม่ทันจะผ่านพ้นงานหมั้นผมไม่นานก็พากันยกโขย่งไปเที่ยวทะเลใต้กันทั้งบ้าน ปล่อยให้ผมต้องมาเผชิญชะตากรรมกับคนแบบขุนศึกในบ้านหลังนี้สองต่อสอง
ผมยืนผัดกับข้าวจนเสร็จไปอีกหนึ่งเมนูโดยเตรียมตักใส่จานพร้อมกิน โดยมื้อนี้ผมทำตั้งใจเผื่อให้ขุนศึกในฐานะเพื่อนบ้านกันเพียงเท่านั้นเพราะบ้านหลังนี้มันก็ถือว่าเป็นของขุนศึกไม่ใช่ของผม ถึงแม้ในความเป็นจริงมันจะเป็นสินสมรสในนานคู่สามีภรรยาก็ตาม
‘โอเครครับ ผมกำลังไปรับ อยากกินอะไรตามใจแพรมเลย’
เสียงคุยโทรศัพท์ของบุคคลที่ผมกำลังคิดในหัวได้แต่งตัวพร้อมออกไปข้างนอกอย่างไม่ต้องเดา เมื่อขุนศึกเดินลงมาถึงขั้นบันไดสุดท้ายสายตาคมกริบคู่นั้นก็มองทะลุผ่านเข้ามายังห้องครัว สองเท้าย่างกายตรงมาในขณะที่ผมกำลังยืนเทผัดกะเพราใส่จานอย่างไม่รีบร้อน
‘แค่นี้ก่อนนะแพรม แล้วเจอกันครับ’
เสียงนั้นตัดบทสนทนาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตรงมายังโต๊ะกินข้าวด้วยสีหน้ายกยิ้มมีความสุขมาให้ผม สายตาคมของมันก้มลงมองอาหารที่ผมเพิ่งะทำเสร็จกำลังจะถูกวางบนโต๊ะอาหารโดยมีจานข้าววางไว้สองใบ
“ทำกับข้าวเป็นด้วย?”
ผมชายตามองนิดหน่อยแล้วหันหลังไปหยิบโถข้าวเปล่ามาถือไว้วางไว้บนโต๊ะ ถึงไม่บอกผมก็รู้ได้ว่ามันกำลังจะออกไปข้างนอกกับผู้หญิงที่นัดไว้ ช่างเป็นสามีที่ดีเสียจริง ย้ายเข้าบ้านมายังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ดันออกไปเริงร่ากับหญิงอื่น
ทุเรศ…
“จะไปไหนก็ไป อย่ามาอยู่ให้รกลูกตา”
ผมตักข้าวหนึ่งทัพพีใส่จานตัวเองถึงแม้จะมีจานข้าวเปล่าอีกจานววางไว้ข้างจานผมก็ตาม แต่ดูจากทรงแล้วเจ้าของจานเปล่าที่ผมเตรียมไว้ให้กำลังจะออกไปข้างนอกแทน ซึ่งผมไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้วและไม่ได้คาดหวังให้คนที่กำลังโน้มตัวเท้ากับเก้าอี้นั่งลงกินด้วย
เพราะที่ทำมันเป็นแค่มารยาททางสังคมก็เท่านั้น…
“กูไม่อยู่กินข้าวด้วย ไม่ใช่ลับหลังแล้วนั่งร้องไห้เหมือนในละครหรอกนะ”
มือที่กำลังตักผัดกะเพราะถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่เจ้าตัวพูด ผมวางช้อนลงทันทีและตวัดสายตาขึ้นมองด้วยความไม่สบอารมณ์ บรรยายกาศระหว่างกินข้าวที่เงียบสงบมันได้หายไปจากเซฟโซนของผมแล้ว เพราะตัวต้นเหตุกำลังที่ยืนกวนประสาทผมอยู่นี่ไง
“ไม่เข้าใจภาษาคนหรอ นี่กำลังไล่อยู่ ไปสักที”
ผมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับขุนศึกแทนที่ผมจะได้นั่งกินข้าวอย่างสุนทรีย์เพราะตลอดทั้งวันความเหนื่อยล้าที่ผมเจอก็ทำให้หมดแรงหมดพลังไปมากแล้ว ดังนั้นเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมจะเรียกพลังตัวเองกลับมาได้
“คืนนี้กูไม่กลับ มึงล็อคประตูบ้านซะ เผื่อมีคนขึ้นบ้านจะซวยกูอีก”
“ไม่ต้องมายืนพร่าม น่ารำคาญ”
ผมตอบกลับไปทันควับแล้วหย่อนตัวนั่งลงจัดการอาหารตรงหน้าทันทีโดยไม่สนใจขุนศึกอีกต่อไป เมื่อร่างสูงเห็นดังนั้นก็ยืนควงพวงกุญแจเล่นมองผมสักพักก่อนจะเดินหันหลังออกจากโต๊ะอาหารโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ข้าวคำแรกถูกใส่เข้าปากผมอย่างไม่สบอารมณ์ถึงแม้รสชาติจะดีเยี่ยมกว่าที่คิดไว้แต่ความรู้สึกลึก ๆ ก็หงุดหงิดใจไม่น้อยที่โดนปั่นประสาทได้สำเร็จ ในระหว่างที่ก่นด่าคนที่เดินออกไปจากบ้านได้ไม่นานเสียงเครื่องยนต์ของรสซูปเปอร์คาร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอยู่หน้าบ้านก่อนที่เสียงนั้นจะค่อย ๆ หายไปพร้อมกับความเงียบที่เข้ามาแทนที่….
บ้านหลังใหญ่แต่อยู่คนเดียวทั้งหลังก็เหงาดีชะมัด….
เมื่อความคิดแวบนึงได้แทรกเข้ามาในหัวผมก็รีบสลัดความคิดนั้นทันที แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวที่อยู่ในจานต่อไปเพียงลำพัง แต่ด้วยความเงียบที่เข้ามาปกคลุมทำให้บรรยากาศรอบตัวผมมันเงียบสงัด เงียบเกินกว่าที่ผมจะนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวได้ต่อ เลยต้องยกโทรศัพท์กดโทรหาเพื่อนตัวเอง ใครสักคนที่ช่วยพูดคุยเป็นเพื่อนผมในระหว่างกินข้าวบนโต๊ะอาหารใหญ่ตอนนี้ได้
‘ว่ายังไงครับซ้อใหญ่ แห่งตระกลูศิริเจริญสกุล’
ประโยคเปิดทักทายของไอ้หงษ์ถึงกับทำให้ตัวผมเองกลืนข้าวแทบไม่ลง…
‘ซ้อใหญ่อะไรของมึง! อย่ามากวนตีนกู!’
ผมก่นด่าไอ้หงส์ออกมาบวกกับอารมณ์ที่หงุดหงิดขุนศึกเป็นทุนเดิม อารมณ์ร้อนรุ่มจึงต่อติดได้ง่ายกว่าทุกครั้ง…
‘โมโหง่ายเชียวนะครับตั้งแต่เป็นซ้อใหญ่เนี่ย แล้วโทรมามีเรื่องอะไร ทำไม ย้ายเข้าไปเรือนหอคืนแรกมันตื่นเต้นถึงกับโทรมาปรึกษากูเลยหรือไง’
‘…’
ผมกับแค้นยิ้มออกมาเมื่อสิ่งที่ไอ้หงส์กำลังพูดมันช่างแตกต่างไปจากความจริงที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้โดยสิ้นเชิง ใครจะไปรู้ว่าคืนเข้าเรือนหอครั้งแรกของผมมันช่างเกินความคาดหมายอย่างนี้
‘เปล่า กูนั่งกินข้าวคนเดียวแล้วมันเหงา เลยโทรหามึงให้อยู่เป็นเพื่อน’
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปรกติไม่ได้เสียใจที่ต้องนั่งกินคนเดียว ก็อย่างที่บอกไปคนประเภทนั้นยิ่งอยู่ไกลยิ่งเป็นผลดีต่อชีวิตผม และคับฟ้าอย่างผมรักความสันโดษเป็นที่สุดแต่สถานการณ์ตอนนี้คงเหมารวมไม่ได้เพราะผมยังไม่ชินกับสถานที่ใหม่เสียเท่าไหร่
‘ห้ะ! เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่าผัวมึงไม่อยู่บ้าน แล้วปล่อยให้มึงอยู่คนเดียว…’
‘อือ แต่ดีกูได้อยู่คนเดียว’
ผมตักคำข้าวเข้าปากไปอีกหนึ่งคำแล้วตบท้ายตามด้วยไข่แดงไปอีกหนึ่งที เมื่อผมมีเพื่อนที่คุยด้วยก็รู้สึกเจริญอาหารมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่า
‘แต่มันคืนแรกเข้าหอเลยนะเว้ย! แล้วผัวมึงเขาไปไหน’
น้ำเสียงที่ดูจะจริงจังถามกลับมาซึ่งไอ้หงษ์ดูท่าทางจะจริงจังมากกว่าตัวผมเสียอีก…
‘หาผู้หญิง ดาราที่ชื่อแพรมอะไรสักอย่าง กูไม่ได้สนใจ’
ใช่ เมื่อสิ่งไหนบนโลกก็ตามที่ผมไม่ได้สนใจผมก็จะไม่อยากรับรู้อะไรด้วยทั้งสิ้น แต่กับเหตุการณ์ครั้งนี้หูผมดันไปได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจเองเลยทำให้ผมรู้ว่าขุนศึกกำลังไปหาคู่ขาร่วมเตียงนอนของมัน
‘แพรม ดาราเบอร์หนึ่งช่องเอ็นอะนะ เชี้ย! ตัวแม่เลยนะนั่น!’
‘แล้วยังไง บอกกูทำไม’
ผมย้ายโทรศัพท์จากแนบหูวางไว้บนโต๊ะแทนเพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยแขน จากการประเมินสถานการณ์ถ้าไอ้หงษ์เปิดประเด็นมาขนาดนี้คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะวาง
‘มึงต้องรู้ เพราะมึงมีศักดิ์เป็นเมีย! มึงจะมาทำไม่รู้เกี่ยวกับผัวมึงแบบนี้ไม่ได้! ได้เป็นถึงซ้อใหญ่ของขุนศึกตระกลูศิริเจริญสกุลเลยนะไอ้คับฟ้า ผู้หญิงต่อแถวรอคิวตั้งเท่าไหร่! แล้วมึงจะนั่งเฉยอยู่บ้านให้ผู้หญิงควงผัวมึงเย้ยออกสื่อหรือไงกัน! คิดไอ้สัสคิดเยอะ ๆ!’
“…”
คำพูดที่รั่วออกมาจากปลายสายไม่คิดแม้แต่จะให้ผมพูดแทรก พูดรัวใส่ผมไม่ยั้งแบบนี้มันคงลืมหายใจไปชั่วขณะหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่มันพูดไม่ได้ทำให้คนอย่างคับฟ้าคนนี้สะทกสะท้านหรอกเพราะสิ่งที่มันพูดไม่มีวันที่ขุนศึกมันจะเดินควงให้สื่อจับได้เป็นแน่
เพราะคำว่าผู้ใหญ่มันค้ำคอ…
‘กูก็นิ่งในเวลาที่ไม่มีใครมายุ่งในอาณาเขตกูเท่านั้น แต่ถ้าเข้ามาล้ำเส้นกูเมื่อไหร่ ไอ้หงส์ มึงก็รู้ว่าเพื่อนมึงคนนี้มันเป็นคนยังไง’
ถึงผมจะรักในความสันโดษแต่ถ้าความสันโดษของผมถูกรบกวนและรุกรานขึ้นมา ตัวผมก็ไม่นิ่งเฉยเหมือนกัน และผมก็เชื่อว่ามันต้องมีสักวันที่ผู้หญิงของขุนศึกจะเข้ามาก่อกวนผมแน่นอนถ้าเกิดได้ยินข่าวว่าผมเป็นใคร ยิ่งขุนศึกอยู่ในวงการสื่อบันเทิงด้วยแล้ว สื่อบันเทิงทุกสำนักก็ต่างพาจ้องจะทำข่าวเจ้าตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีสำนักสื่อบันเทิงช่องไหนได้เล่นข่าวเกี่ยวกับหนุ่มธุรกิจไฟแรงคนนี้ยอดเรตติ้งคงขึ้นไม่น้อย
ก็วงการบันเทิงนี่เนาะ…
‘ เออกูรู้ แต่มึงจะปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ หรือไงไอ้คับฟ้า’
‘ใช่ ตราบใดที่พื้นที่กูไม่ถูกรุกรานกูจะอยู่ของกูแบบนี้ ’
‘…’
‘แต่ถ้าพื้นที่กูถูกแตะแม้แต่นิดเดียว มึงคอยดูไว้เลยว่ามันจะเป็นยังไง’