ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 130 ญาติพี่น้องมาชุมนุมกัน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 130 ญาติพี่น้องมาชุมนุมกัน
บทที่ 130 ญาติพี่น้องมาชุมนุมกัน
……….
บทที่ 130 ญาติพี่น้องมาชุมนุมกัน
หลี่กุ้ยฮวาและเซี่ยวเฟินฟางบังเอิญเจอกันระหว่างทาง
ทั้งสองคนต่างถือผักมาไม่น้อย
“โอ้โฮ น้องสะใภ้รอง บ้านเธอก็กำลังสร้างบ้านไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังต้องให้เธอไปทำอาหารที่บ้านน้องสามด้วยล่ะ”
เซี่ยวเฟินฟางรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำยังไงได้ล่ะ บ้านฉันสร้างด้วยไม้ แค่ต่อเติมเท่านั้นเอง”
“แต่บ้านน้องสามเขาเจริญรุ่งเรืองมากนะ สร้างบ้านอิฐ เป็นบ้านใหม่ทั้งหลังเลย”
“เทียบกันแล้ว แน่นอนว่าบ้านน้องสามต้องมีหน้ามีตากว่า”
หลี่กุ้ยฮวาหัวเราะในใจอย่างสนุกสนาน ปกติแล้วเซี่ยวเฟินฟางคนนี้มักจะเชิดหน้าชูคอมองคนอื่นด้วยสายตาดูถูก
ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่หล่อนต้องอับอายขายหน้าด้วย
หลี่กุ้ยฮวายิ้มหน้าระรื่น “ก็จริงนะ ในหมู่บ้านเรามีบ้านอิฐแบบนี้แค่แห่งเดียวเท่านั้นแหละ”
“แน่นอนว่าต้องมีหน้ามีตา ในเมื่อครอบครัวเธอร่ำรวยขนาดนี้ ทำไมไม่สร้างบ้านอิฐล่ะ?”
“รอให้ทุกคนมีเงินก่อน พวกเขาก็คงสร้างแบบนี้กัน”
เซี่ยวเฟินฟางแค่นเสียง “แล้วทำไมครอบครัวพี่ไม่สร้างมั่งล่ะ?”
“ครอบครัวฉันไม่มีเงินนี่” หลี่กุ้ยฮวาเดาะลิ้นสองที “ลูกชายของฉันมีอนาคต ต้องเรียนหนังสือ ใช้เงินเยอะมาก”
“แถมเขายังมีแฟนสาวด้วย พ่อแม่หล่อนทำงานในที่ว่าการอำเภอ โอ้โห ยิ่งต้องใช้เงินเยอะเข้าไปอีก”
“แต่ยังไงว่านหยวนบ้านเธอก็ดีอยู่ ช่วยประหยัดเงินได้เยอะ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องเลือกลูกสะใภ้”
“เหวินชางของเรามีวิสัยทัศน์ดีจริงๆ แต่ก็… พอเขาเรียนจบ พ่อตาก็ต้องจัดการให้เขาเข้าทำงานในที่ว่าการอำเภอใช่ไหมล่ะ?”
หลี่กุ้ยฮวามีใบหน้าเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นอีกหลายส่วน “ฉันสร้างบ้านในหมู่บ้านนี้จะมีประโยชน์อะไร ยังไงลูกชายของฉันก็ต้องไปพัฒนาตัวเองในเมืองอยู่แล้ว”
สีหน้าของเซี่ยวเฟินฟางยิ่งดำคล้ำลงเรื่อยๆ
หล่อนจ้องหลี่กุ้ยฮวาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว แล้วถ่มน้ำลายใส่ “เชิญโอ้อวดไปเถอะ ดูตัวเองสมัยก่อนสิว่าเลวร้ายแค่ไหน วันๆ เอาแต่รังแกหลี่ชุ่ยชุ่ย ตอนนี้หล่อนก็คงไม่ไว้หน้าพี่บ้างเหมือนกัน”
“ครอบครัวของพวกเขายังพอเจรจากันได้นะ เธอดูสิ เมื่อก่อนฉันก็ทำไม่ดีกับพวกเขาจริงๆ” หลี่กุ้ยฮวาถอนหายใจ “แต่จิ่นเป่าเป็นเด็กดี ไม่เพียงไม่ถือสาแล้ว ยังมอบหมายงานให้เย่จู๋ของเราในสวนผลไม้บ่อยๆ อีกด้วย”
“อย่างน้อยฉันก็รู้จักแก้ตัวเมื่อทำผิด ไม่เหมือนเธอที่ยังดื้อดึงไม่ยอมรับผิด”
เซี่ยวเฟินฟางกลอกตา ไม่อยากเสียเวลากับหล่อนอีกต่อไปแล้ว
หล่อนถือตะกร้าผักเดินจากไป
หลี่กุ้ยฮวายิ้มแย้มเดินตามหลังมาด้วยท่าทางพร้อมจะซ้ำเติม
เย่จื้อผิงถูกหลิวต้าเม่ยใช้ให้ไปขนผักจากบ้านของนางมามากมาย
เย่จื้อเฉียงก็ซื้อเนื้อกลับมาจากตลาดในอำเภอแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน เห็นเย่จื้อผิงแล้วก็พูดว่า “จื้อผิง คุณรีบมาคุยกับญาติๆ หน่อย ฉันจะไปทำอาหาร”
“อย่าเร่งร้อนไปเลย นั่งลงก่อนเถอะ” หลิวต้าเม่ยมองออกไปนอกประตู “พี่สะใภ้ทั้งสองของเธอมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ให้พี่สะใภ้ของเธอทำกับข้าวเถอะ วันนี้เธอพักผ่อนก็แล้วกัน”
“จื้อผิง มานั่งเร็ว ขาแกเป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้?”
เย่จื้อผิงนั่งลง “ก็ดีครับ แค่เดินยังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่”
“งั้นก็ดีแล้ว ว่างเมื่อไหร่ก็ให้พ่อพาไปตรวจในเมืองสักหน่อยนะ อย่าให้บาดเจ็บเรื้อรังเชียว”
“ตอนที่ฉันได้ยินว่าเกิดเรื่องกับแก ฉันกินข้าวไม่ลงตั้งหลายวัน” หลิวต้าเม่ยพูดไปพูดมา ก็เริ่มแสร้งทำท่าเช็ดน้ำตา
“ในบรรดาลูกชายสามคนของฉัน แกเป็นคนที่ลำบากที่สุดแล้ว”
เย่จื้อผิงรีบพูด “ผมรู้ครับ ก่อนหน้านี้ผมไปตรวจในเมืองมาแล้ว หมอบอกว่าฟื้นตัวได้ดีมาก”
“งั้นก็ดีแล้ว ไม่งั้นฉันก็คิดถึงเรื่องของแกอยู่เรื่อย ชวนให้เป็นห่วงอยู่นะ”
หลิวต้าเม่ยทำตัวเป็นแม่ที่รักลูกกตัญญูอยู่ตรงนี้
ส่วนเซี่ยวเฟินฟางและหลี่กุ้ยฮวาต่างมองเขม่นกันอย่างไม่ค่อยถูกชะตา เข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารด้วยกัน
หลี่กุ้ยฮวาเห็นครัวที่สะอาดและสว่างนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานิดๆ
ตรงประตูทางเข้ามีอ่างล้างจาน สะดวกมากในการทำอาหารและล้างผัก
ครัวนี้ยังมีพื้นที่กว้างขวาง มีโต๊ะใหญ่ที่สามารถนั่งรับประทานอาหารได้หลายคน
“ครัวนี้ทำดีจริงๆ”
เซี่ยวเฟินฟางก็อดไม่ได้ที่จะลูบกระเบื้องประดับลวดลายที่ติดอยู่บนเตา
ทั้งสองคนต่างมองด้วยสายตาร้อนผ่าว
เย่จื้อเฉียงถือเนื้อวัวและเนื้อหมูที่ซื้อมาเข้ามา “ผมวางเนื้อไว้ตรงนี้นะ”
หลี่กุ้ยฮวาคว้าแขนเย่จื้อเฉียงไว้ทันที “พวกเราจะสร้างบ้านดีๆ แบบนี้ได้เมื่อไหร่กันนะ? คุณดูสิ มันสว่างขนาดไหน”
บ้านไม้นั้นดูอับทึบไปหมด ไม่สว่างเอาเสียเลย
สู้ตึกอิฐฉาบปูนขาวแบบนี้ก็ไม่ได้ สว่างดีเหลือเกิน
เย่จื้อเฉียงเกาหัวแล้วยิ้มแห้งๆ “ก่อนหน้านี้ผมเห็นคนงานที่นี่บอกว่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้คงต้องใช้เงินเกิน 700 หยวนแน่ๆ”
“รวมเฟอร์นิเจอร์พวกนี้และค่าแรงคนงานด้วย คงต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะ”
หลี่กุ้ยฮวาไม่กล้าคิดต่อแล้ว “หรือว่าต้องใช้เกือบ 1,000 หยวน?”
“ผมคิดว่าประมาณนั้นแหละ” เย่จื้อเฉียงพยักหน้า “ดังนั้นพวกเราอย่าไปคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พวกนี้เลย”
“รอให้เหวินชางร่ำรวยก่อน ค่อยสร้างบ้านในเมือง แล้วก็ให้เขาแบ่งห้องหนึ่งให้พ่อแม่แก่ๆ อย่างพวกเราอยู่ด้วย”
เซี่ยวเฟินฟางที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้หรอก ครอบครัวพวกเขาไม่มีทางมีเงินมากขนาดนั้น”
“ก่อนหน้านี้จักรยานของพวกเขา รุ่นที่ใกล้เคียงกันในเมืองขายอยู่ 200 หยวนนะ”
“พวกเขาจะเหลือเงินมากขนาดนั้นมาสร้างบ้านได้ยังไง”
“บ้านหลังนี้คงไม่ได้ใช้เงินมากเท่าไหร่หรอก”
เย่จื้อเฉียงรู้ดีว่าบ้านรองชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นมากที่สุด
เขาจึงไม่พูดอะไรกับเซี่ยวเฟินฟางมากนัก
“ใช่ๆๆ ไม่ได้ใช้เงินมากหรอก เธอก็บอกให้เจ้ารองสร้างบ้านสักหลังสิ”
แม้จะเป็นญาติกับครอบครัวเย่คนที่สาม แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกเขามีชีวิตที่ดี
ถ้าพวกเขามีชีวิตที่ไม่ดี หล่อนกลับจะรู้สึกดีใจมากกว่า
หล่นอแค่กลัวว่าพวกเขาจะเหยียบข้ามหัวตนไป…
เซี่ยวเฟินฟางซ่อนความอิจฉาในดวงตา “ฉันแค่พูดไปงั้นๆ แหละ บ้านของฉันเพิ่งสร้างเสร็จ จะมีเวลาไหนมาสร้างบ้านอีกล่ะ?”
“บางทีอิฐและปูนพวกนี้อาจจะไม่แพงเท่าไม้ก็ได้นะ”
“อยู่บ้านไม้ยังดีกว่า อุ่นในฤดูหนาว เย็นในฤดูร้อน แถมยังแข็งแรงทนทานด้วย”
คำพูดนี้เป็นการพยายามรักษาหน้าอย่างสุดๆ
ใครก็ตามที่มาบ้านของเย่เหล่าซาน ต่างก็รู้ว่าบ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านไม้หลังเก่าที่มีลมโกรกและมืดทึมมากนัก
แต่บ้านในชนบททางตอนใต้ส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านแบบนี้กันทั้งนั้น
ไม่ค่อยมีใครสร้างบ้านอิฐทันสมัยสักเท่าใด
ในห้องโถง
เย่เสี่ยวจิ่นกลับมาที่บ้านแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยถามด้วยความอยากรู้ “จิ่นเป่า ลูกกลับมาเร็วจัง ไปเจอโจวเซียวมาหรือ?”
“เจอแล้วค่ะ หนูกลับมาบอกแค่ว่าให้หุงข้าวเพิ่มหน่อย พี่โจวเซียวกับรุ่ยเป่าจะมากินข้าวด้วย”
“ได้เลย วันนี้แม่จะหุงข้าวให้เยอะๆ กินกันให้อิ่มหนำไปเลย”
เย่จื้อผิงถามอย่างสงสัย “โจวเซียวมีธุระอะไรกับลูกหรือ?”
เย่เสี่ยวจิ่นเล่าเรื่องการเลี้ยงปลาในนาข้าวให้ฟัง
ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีเงินช่วยเหลือหรือไม่ แค่นำความคิดนี้ไปเสนอผู้ใหญ่ได้ก็เป็นเกียรติอย่างมากแล้ว
ถ้าได้รับเลือกจริงๆ ทุกคนก็จะรู้ว่านี่เป็นความคิดของคนตระกูลเย่
“พี่สาวหลิว จิ่นเป่าของคุณกินอะไรเติบโตมาถึงได้ฉลาดขนาดนี้?”
“หลานชายของฉันโง่เหลือเกิน อยากจะเรียนรู้วิธีจากคุณบ้าง”
“ดูซิว่าหลานชายของฉันจะมีหนทางบำรุงสมองได้บ้างไหม”
หลิวต้าเม่ยได้ยินคนอื่นถาม ก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที
หลานสาวของนางกินแต่ข้าวต้มใสกับผักป่าทุกวัน
ไม่เคยได้กินอะไรดีๆ เลย
เย่เสี่ยวจิ่นรับคำต่อ “หนูคิดว่า…อาจเป็นเพราะหนูกินมังสวิรัติมาตั้งแต่เด็กมั้ง”
“สมองหนูเลยปราดเปรื่องกว่าคนอื่น การได้กินผักป่าอะไรพวกนั้นเยอะๆ ต้องบำรุงสมองแน่ๆ”
“แต่ก่อนบ้านหนูจนมาก ไม่มีเนื้อให้กินเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว มีแต่น้ำข้าวต้มจืดๆ กับผักป่านิดหน่อย แต่ก่อนหล่อนขาดสารอาหาร จนอายุสามขวบครึ่งแล้วก็ยังพูดไม่ได้”
ทุกคนพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
เพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้หลิวต้าเม่ยปฏิบัติกับลูกชายสามอย่างไม่เป็นธรรมมากเพียงใด
แต่ก่อนเด็กคนนี้แม้แต่ข้าวก็ไม่มีจะกิน พอตอนนี้ได้อยู่ดีกินดีแล้ว นางถึงได้กลับมาห่วงใยครอบครัวของลูกชายสาม
“จิ่นเป่าลำบากมากจริงๆ โชคดีที่หล่อนยังฉลาดมาก”
“จริงด้วย มีคนพูดกันว่าลูกคนจนต้องโตเร็ว คำพูดนี้เป็นความจริงนะ”
“พี่สาวหลิว ต่อไปอย่าลำเอียงแบบนี้เลยนะ ลูกชายลูกสาวก็เหมือนกัน พ่อแม่ควรช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายบ้าง”
“ใช่เลย จิ่นเป่าเก่งขนาดนี้ ถ้าหิวจนป่วยก็จะเสียของนะ”
หลิวต้าเม่ยเป็นคนหน้าด้านอยู่แล้ว พอกลอกตาคิดก็มีข้ออ้างดีๆ ทันที
“พวกคุณไม่รู้หรอก ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้จิ่นเป่ากินเนื้อกินข้าว”
“ความจริงร่างกายหล่อนอ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในท้อง เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตลอด เลยกินได้แค่โจ๊กกับอาหารเจเท่านั้น”
“แล้วต้องโทษชุ่ยชุ่ยด้วยที่มีน้ำนมไม่พอ เลยทำให้เด็กขาดสารอาหาร”
หลิวต้าเม่ยพูดแบบนี้ไม่เพียงแต่โยนความผิดให้พ้นตัว แต่ยังเป็นการชี้หน้าตำหนิหลี่ชุ่ยชุ่ยอีกด้วย
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกอึดอัดใจ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากมีน้ำนม
ความจริงแล้วที่บ้านแทบจะไม่มีอะไรจะกิน แล้วจะเอาสารอาหารที่ไหนมาบำรุงร่างกาย?
แม้แต่แม่ไก่แก่ที่นำมาจากบ้านเกิด ก็ถูกหลิวต้าเม่ยเอาไปแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง จู่ๆ ก็รู้ซึ้งแล้วว่าน้ำใจที่หลิวต้าเม่ยแสดงออกมาวันนี้ ก็เพื่อรักษาหน้าตาตัวเองเท่านั้น
ถ้าครอบครัวของพวกเขาไม่มีบ้านหลังนี้ นางคงไม่แม้แต่จะเหลียวมองครอบครัวของพวกเขาด้วยซ้ำ…
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จิ่นเป่าจัดไปลูก ฉีกหน้าย่ากลางวงญาติสักที เหม็นหน้ากิ้งก่าแก่นี่เหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)
……….