ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 129 โจวเซียวช่วยขอเงินช่วยเหลือให้เธอ
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 129 โจวเซียวช่วยขอเงินช่วยเหลือให้เธอ
บทที่ 129 โจวเซียวช่วยขอเงินช่วยเหลือให้เธอ
……….
บทที่ 129 โจวเซียวช่วยขอเงินช่วยเหลือให้เธอ
“ลูกชายสามของฉันประสบความสำเร็จมากที่สุด ญาติๆ มาเยี่ยมเมื่อไหร่ เราก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างดี”
“ดูบ้านที่ลูกชายสามของฉันสร้างสิ สวยมากเลย พื้นก็เทปูนกริบจนไม่มีวัชพืชขึ้น”
“พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ขนาดฉันที่เป็นแม่ยังไม่รู้เลย พวกเขาแอบทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ให้ใครต้องกังวลเลย”
เสียงของหลิวต้าเม่ยดังก้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง
“ทุกคนเชิญดูรอบๆ ตามสบายเลยนะ คืนนี้ทุกคนกินข้าวกันที่นี่ ฉันจะเรียกลูกชายคนโตและคนรองมาด้วย”
“มาร่วมรับความเป็นสิริมงคลกันเถอะ ต่อไปญาติๆ ของเราทุกคนจะได้อยู่บ้านอิฐกันหมดแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเย่จื้อผิงอย่างกังวล “แม่ของคุณพาญาติมามากมายขนาดนี้ แล้วมื้อเที่ยงเราต้องทำอาหารเยอะมากเลยใช่ไหม?”
หล่อนขมวดคิ้ว “ในบ้านก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่เนื้อตากแห้งเท่านั้น”
“งานเลี้ยงฉลองบ้านใหม่ก็ควรจะดูดีหน่อย ถ้าจะออกไปซื้อตอนนี้ยังทันไหม?”
เย่จื้อผิงตบไหล่หลี่ชุ่ยชุ่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจ ผมจะไปสอบถามสถานการณ์ดูก่อน”
“เรื่องนี้เป็นแม่เราที่ตัดสินใจเองโดยไม่ถามอะไรเราสักคำ”
“จริงๆ เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเขาเดินออกไป แต่ในใจกลับไม่รู้สึกโกรธ
การย้ายเข้าบ้านใหม่ ตามธรรมเนียมแล้วก็ต้องเชิญญาติๆ มาฉลองขึ้นบ้านใหม่กัน
“จิ่นเป่า วันนี้จะไปสวนผลไม้อีกไหมลูก?”
เย่เสี่ยวจิ่นเดินออกมาจากห้องของตัวเอง “หนูจะไปค่ะ ไปหาคะแนนทำงานไงคะ”
“แล้วก็พี่โจวเซียวบอกว่ามีเรื่องอยากให้หนูไปหาด้วย”
“งั้นก็ได้ เช้านี้กินแป้งย่างฟักทองกับไข่ได้ไหม? ตอนเที่ยงค่อยกลับมากินของอร่อยที่บ้าน”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ในตอนที่เย่เสี่ยวจิ่นออกจากบ้านพร้อมกับไข่และแป้งย่างฟักทอง ญาติๆ ต่างก็เห็นเธอ
หลิวต้าเม่ยรีบเข้ามาจับแขนเย่เสี่ยวจิ่นไว้ แล้วแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือจิ่นเป่าหลานสาวที่เก่งที่สุดของบ้านเรา”
“หมอดูบอกว่าหล่อนมีโชคลาภ ชะตาดี”
“แต่ก่อนลูกชายสามของฉันไม่ค่อยมีโชค แต่พอมีลูกสาวคนนี้ ครอบครัวก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ”
“หล่อนอายุยังน้อยแค่นี้ก็ได้เป็นหัวหน้าทีมแล้วนะ!”
ญาติคนอื่นๆ ต่างพากันชื่นชมเย่เสี่ยวจิ่น
เย่เสี่ยวจิ่นไม่เข้าใจว่าจู่ๆ หลิวต้าเม่ยเป็นบ้าอะไร ปกติรังเกียจเธอแทบตาย อยากจะโยนเธอทิ้งไปให้พ้นๆ เพื่อไม่ให้นำโชคร้ายมาสู่ครอบครัว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกระตือรือร้นแบบนี้
“คุณย่าคะ หนูยุ่งมากเลย ต้องไปที่หมู่บ้านแล้ว”
“ดีๆ เธอเก่งจริงๆ งานก็ยุ่ง” หลิวต้าเม่ยยิ้มแย้ม “กลางวันรีบกลับมากินข้าวนะ”
“ฉันให้ลุงใหญ่ของเธอไปซื้อเนื้อหมูและเนื้อวัวที่ตำบลแล้ว”
“ฉันเอาไข่มาเยอะเลย พ่อของเธอบอกว่าวันนี้เราฆ่าไก่ได้หนึ่งตัว”
“เธอต้องกลับมาเร็วๆ นะ จะได้กินน่องไก่”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “ได้ค่ะ”
เธอเดินเร็วมาก
เบื้องหลังของเธอ ญาติๆ กำลังพูดคุยกันจอแจ
“พี่สาวหลิว ต้องบอกว่าคุณมีบุญจริงๆ หลานสาวคนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าเลยนะ”
“ใช่เลย หลานสาวของคุณนี่ช่วยส่งเสริมความเจริญให้ครอบครัวจริงๆ ต่อไปไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร ก็จะเป็นโชคของครอบครัวนั้น”
“แน่นอนว่าต้องแต่งงานกับคนในเมืองสิ เย่หวายก็เรียนหนังสือเก่ง ต่อไปก็ต้องไปอยู่ในเมือง ให้เขาแนะนำคนรวยๆ ให้น้องสาวสักคน”
“โอ้โห จื้อผิงนี่ช่างโชคดีจริงๆ! ลูกๆ ทุกคนมีความสามารถขนาดนี้!”
หลิวต้าเม่ยดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาหลังจากได้รับคำชมเชยมากมาย
นางรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
นางชำเลืองตามองแล้วโบกมือ “แน่นอนอยู่แล้ว ปีหน้าเย่หวายจะได้ไปเรียนวิทยาลัยอาชีวะในเมือง”
“ได้รับการจัดสรรทะเบียนบ้านในเมือง ก็จะกลายเป็นคนในเมืองที่มีการศึกษาแล้ว”
“เขาประสบความสำเร็จ ทำให้ทั้งตระกูลเย่ของเราภาคภูมิใจ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้ม
“พูดแบบนี้แล้ว ผลการเรียนของเย่หวายดีกว่าเหวินชางด้วยสินะ?”
“ตอนนี้เหวินชางเรียนอยู่ม.ปลายเป็นอย่างไรบ้าง? เรียนชั้นม.ปลายนี่ไม่ได้รับการจัดสรรทะเบียนบ้านและงานใช่ไหม?”
“ฉันได้ยินมาว่าการเรียนชั้นม.ปลายไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“ใช่แล้ว จบวิทยาลัยอาชีวะสามารถไปทำงานในหน่วยงานรัฐบาลได้ หรือจะเป็นครูก็ได้”
หลิวต้าเม่ยฟังพวกเขาพูดแล้วก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง
ตอนแรกนางทุ่มเทเงินทองและแรงกายแรงใจให้กับเหวินชางมากมาย
แต่เขากลับสอบเข้าวิทยาลัยอาชีวะไม่ได้แม้แต่แห่งเดียว!
นักเรียนมัธยมปลายนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่เหมือนกับวิทยาลัยอาชีวะที่มีงานรองรับแน่นอน
“ฮ่ะๆ…เหวินชางน่ะ ถึงจะเรียนไม่เก่งเท่าน้องชาย แต่ในอนาคตก็อาจจะมีงานที่มั่นคงได้นะ”
“ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงล่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเตรียมน้ำชาและผลไม้ไว้ต้อนรับทุกคนที่นั่งดื่มชาคุยกันอยู่ในห้องโถง
หลิวต้าเม่ยเงยหน้ามองผนังสีขาวสะอาดและเฟอร์นิเจอร์สวยงามทั่วทั้งห้อง
แม้แต่พื้นก็ยังปูกระเบื้องเงาวับ ไม่เหมือนบ้านที่ชาวบ้านทั่วไปจะอยู่ได้เลย
ดวงตาของนางเปล่งประกายวาววับขึ้นมา ถ้าในอนาคตตนได้อยู่บ้านแบบนี้บ้างก็คงดี
มันจะได้หน้ามากไหนกันเล่า!
“ดีจังเลย บ้านหลังนี้สวยมาก” หลิวต้าเม่ยพูด “ชุ่ยชุ่ย วันนี้ตอนเที่ยงเธอไม่ต้องยุ่งวุ่นวายนะ พี่สะใภ้คนโตกับคนรองจะนำอาหารมาทำให้ เธอเป็นเจ้าของบ้าน เธอแค่คอยต้อนรับและพูดคุยกับญาติๆ ก็พอแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่คิดว่าตัวเองจะสบายขนาดนี้
หล่อนนั่งลง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เย่เสี่ยวจิ่นเดินทางไปที่สวนผลไม้ สั่งงานเรียบร้อยแล้วก็ไปหาโจวเซียวที่สำนักงานหมู่บ้าน
โจวเซียวเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน กำลังคุยเรื่องงานกับผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่สำนักงาน
“พี่โจวเซียว หนูมาแล้วค่ะ”
โจวเซียวเห็นเย่เสี่ยวจิ่นก็พูดว่า “เธอมาได้จังหวะพอดีเลย”
“ช่วงนี้เธอทำแผนเลี้ยงปลาในนาข้าวออกมาได้ ฉันคุยกับผู้ใหญ่บ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”
“วิธีของเธอนี่ดีจริงๆ นอกจากจะใช้ประโยชน์จากที่ดินซ้ำเพื่อเพิ่มรายได้แล้ว ยังรักษาระบบนิเวศให้อยู่ร่วมกันได้อีกด้วย”
“นี่เป็นความคิดที่ดีมากจริงๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มกว้าง “ทั้งหมดนี้หนูไปเรียนรู้มาน่ะค่ะ ไม่ได้คิดขึ้นมาเองลอยๆ หรอก”
“แต่ตามที่ผมรู้ ตอนนี้ยังไม่มีใครเสนอวิธีการแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
“จิ่นเป่า เธอไปเห็นมาจากที่ไหนล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นเม้มปาก “หนู…ลืมไปแล้ว อาจจะเป็นแค่เรื่องที่ได้ยินมาก็ได้”
“ฉันอยากช่วยยื่นโครงการนี้ไปที่เมือง เพื่อขอเงินสนับสนุนการวิจัยให้เธอ”
“ทุกปีจะได้เงินเพิ่มขึ้น และถ้าโครงการนี้ผ่าน มันจะถูกใช้เป็นต้นแบบในการเผยแพร่”
“ตอนนั้นหมู่บ้านชงเทียนก็จะได้รับรางวัลด้วย”
“บางทีในรายชื่อหมู่บ้านดีเด่นปีนี้ อาจจะมีชื่อหมู่บ้านชงเทียนเพิ่มขึ้นมาก็ได้นะ”
โจวเซียวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้พูดเล่น
เขาหยิบกระดาษจำนวนหนึ่งออกมา “นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านบอกฉัน เธอลองดูซิว่าต้องเพิ่มเติมอะไรไหม?”
“ฉันแค่ช่วยเธอเขียนโครงการ แต่ชื่อผู้เขียนยังเป็นของเธอเหมือนเดิม”
เย่เสี่ยวจิ่นดูแล้วอดไม่ได้ที่จะขอบคุณ “ขอบคุณมากนะคะ แต่ตรงนี้ต้องเพิ่มว่าต้องใส่ปุ๋ยสองครั้ง”
“ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ปลอดภัยทั้งหมด เพื่อให้ปลาได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ”
“ได้ ฉันจะเพิ่มเข้าไปเดี๋ยวนี้” โจวเซียวหยิบปากกาที่เสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อออกมา แล้วเขียนลงในสมุด
เขาอ่านทบทวนอีกครั้ง แล้วยิ้มพูดว่า “แบบนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว ผมจะเขียนให้เสร็จแล้วส่งตามที่เธอบอกนั่นแหละ แค่ต้องปรับแต่งภาษานิดหน่อย”
เย่เสี่ยวจิ่นรู้สึกขอบคุณมาก “ขอบคุณมากนะคะพี่โจวเซียว เที่ยงนี้ไปกินข้าวที่บ้านฉันกับรุ่ยเป่าด้วยกันนะคะ”
“บ้านฉันเพิ่งสร้างใหม่ ตอนเที่ยงจะทำอาหารอร่อยๆ เยอะแยะเลย”
“พี่พารุ่ยเป่ามาด้วยสิ”
“ก็ได้ พอดีฉันก็จะมอบเป็ดสามสิบตัวนั้นให้ครอบครัวเธอด้วย” โจวเซียวเก็บกระดาษและปากกา พูดกับผู้ใหญ่บ้านอย่างจนปัญญา “รุ่ยเป่าผมเลี้ยงเป็ดไว้สามสิบตัว แต่กลับยกให้ผมทั้งหมด”
“ยังบอกอีกว่าจะเอาไปให้จิ่นเป่า เพื่อให้จิ่นเป่าได้กินเนื้อทุกวัน”
เขาก้มหน้าลงยิ้มเล็กน้อย “รุ่ยเป่าของเรารู้จักใช้เป็ดมาเอาใจผู้หญิงแล้วนะ”
ซุนจ่างซุ่นหัวเราะลั่น “รุ่ยเป่าคงไม่ไหวหรอก เขาไม่ฉลาดเท่าจิ่นเป่า เอาใจจิ่นเป่าแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ต่อไปจิ่นเป่าต้องเข้าเมืองใหญ่ เว้นแต่ว่ารุ่ยเป่าจะตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ไม่งั้นเป็ดสามสิบตัวนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
โจวเซียวกลับรู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านพูดถูกมาก
“ไม่เหมาะสมหรอก พวกคุณเลี้ยงไว้กินเองเถอะ” เย่เสี่ยวจิ่นโบกมือ “บ้านหนูก็เลี้ยงไว้ไม่น้อยเหมือนกัน”
“คุณไม่รู้อะไร รุ่ยเป่าคนนี้ขี้เกียจมากเพราะร่างกายไม่แข็งแรง”
“เขาต้องรักษาตัวอยู่ตลอด แต่ในเมื่อเขามีเป้าหมายแบบนี้ก็นับว่าดีต่อตัวเขา”
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ แค่เป็ดสามสิบตัวเท่านั้นเอง แถมพวกเราก็ไม่ได้ชอบกินด้วย”
โจวเซียวพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สำหรับผม การที่เขามีอะไรทำบ้างก็นับเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ได้ขยับร่างกาย เป็นผลดีต่อสุขภาพ”
“เธออาจจะบอกเขาว่าเป็ดอร่อย ให้เขาเลี้ยงเพิ่มอีกหน่อยก็ได้นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่คิดว่าทุกคนยังไม่อาจกินเนื้อได้อย่างอิสระ
ตระกูลโจวกำลังไล่ตามสิ่งที่อยู่ในระดับหรูหราแล้ว
“งั้นก็ดีค่ะ ทุกครั้งที่บ้านหนูเชือดเป็ด หนูจะเรียกรุ่ยเป่ามากินด้วยกันดีไหมคะ?”
โจวเซียวมองดวงอาทิตย์ข้างนอก “เขาคงจะดีใจมาก งั้นฉันจะไปเรียกเขาให้มากินข้าวที่บ้านเธอนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เปลี่ยนสีไวมากเลยนะคะคุณย่า ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าคามีเลียนอีก
โครงการจะซ้ำกันไหมเนี่ย ได้ยินว่าคนแซ่เหอมันก็อปไปส่งก่อนแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……….