ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ - ตอนที่ 120 ฉันเป็นคนมีเหตุผล
“พี่เก้า พี่ยังมัวไร้สาระอะไรกับมันอยู่ เรียกคนของพี่ออกมาเลย หักมือมันทั้งสองข้าง มีปัญหาอะไรทีหลังผมรับผิดชอบเอง!”
จางเวยอยู่ด้านหลังเร่งรัดอย่างหมดความอดทน ขี้เกียจไปมองเย่เทียนโดยสิ้นเชิง
พอเย่เทียนได้ยิน อดกวาดตามองจางเวยไม่ได้ ในใจตำหนิไม่หยุด ติดหนี้ไม่คืนก็แล้วไป คาดไม่ถึงยังอยากลงมือตีตนเอง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามตัดขาดขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว!
พี่เก้ากลับไม่ประมาทเช่นกัน เอามือขวาวางไว้ที่ปากผิวปากเสียงดังก้องแล้ว มีชายกำยำที่ดูก็รู้ว่าเป็นอันธพาลสิบกว่าคนกรูออกมาทันที
ความเป็นจริงสถานะระหว่างสองคนแตกต่างกันเหลือเกิน เดิมทีพี่เก้าไม่ต้องพิจารณา เทียบกับการผิดใจจางเวยขึ้นมา เย่เทียนบอดี้การ์ดกระจอกคนนี้ไม่พอให้มองเลย!
พี่เก้ากำชับไปยังลูกน้องว่า “ได้ยินคำสั่งของคุณชายจางรึเปล่า หักมือสองข้างของไอ้หนุ่มนั่นให้พิการ!”
“ลูกพี่ครับ ไม่มีปัญหา!” ลูกน้องกลุ่มหนึ่งรีบตอบรับทันที จ้องเย่เทียนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ล้อมรอบเข้ามาแบบรู้กันลับๆ
เย่เทียนมองกลับเหมือนมองไม่เห็น สายตาตกบนตัวจางเวยที่อยู่หลังสุดโดยตรง พูดทอดถอนใจ “ในเมื่อนายไม่ยอมควักเงินออกมาเอง งั้นฉันได้เพียงตีจนนายยอมควักเงินมาถึงจะหยุดสินะ!”
“แม่งเอ๊ย ความตายมาเยือนตรงหน้ายังทำปากแข็ง รอเดี๋ยวฉันจะดูว่าแกจะขอร้องฉันยังไง!”
จางเวยด่าทอทีหนึ่ง โบกฝ่ามือขึ้น แย่งสิทธิ์สั่งการเข้ามา “ไปจัดการให้ฉัน ใครหักแขนของมันได้ ข้างหนึ่งฉันเพิ่มรางวัลห้าหมื่น!”
สุภาษิตว่าไว้ถูกต้อง มีเงินสั่งคนอื่นทำอะไรแทนตัวเองได้หมด
คำพูดประโยคนี้ในเมื่อสามารถผ่านช่วงหลายพันปีมาจนถึงปัจจุบันได้ นั่นคงต้องทนทานต่อการพิจารณาต่อการใช้คำอย่างรอบคอบได้!
ภายใต้คำสั่งการของจางเวย ไม่ต้องพูดถึงลูกน้องกลุ่มหนึ่งเลย แม้แต่พี่เก้ายังทนไม่ไหว จ้องเย่เทียนด้วยแววตาโหดร้าย หัวเราะชั่วร้ายบอกว่า “ไอ้หนุ่ม หวังว่าต่อไปแกจะรู้จักดูตาม้าตาเรือหน่อย ไม่ใช่ใครที่แกจะสามารถล่วงเกินได้หมด”
พูดจบ พี่เก้าไม่ได้ลังเลสักนิดเดียว เป็นคนนำพุ่งไปตรงหน้าเย่เทียนก่อน หมัดขนาดใหญ่ทุบไปยังศีรษะเย่เทียนอย่างเหี้ยมโหด
เพียงแค่ ที่เกินการคาดการณ์ของผู้คนคือ เย่เทียนอย่างกับตกใจค้างไป ไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
คุณชายตระกูลเศรษฐีที่ไม่ค่อยเจอความรุนแรงเลือดสาดสักเท่าไรร้องตกใจตามๆ กัน สำหรับเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้รู้สึกเร้าใจอย่างมาก
สำหรับพ่อค้าเพชรพลอยเหล่านั้น พวกเขาที่อยู่ที่นี่มานานจะไม่รู้จักความสามารถของพี่เก้าดีได้อย่างไร เห็นเย่เทียนอึ้งค้าง ต่างหันหน้าหนีทนมองดูฉากนี้ไม่ได้
ผัวะ!
เสียงกระแทกที่ทุ้มต่ำดังขึ้น เดิมทีไม่มีเสียงร้องคำราม คนในเหตุการณ์รีบทอดสายตามองเข้าไปทันที ชั่วขณะนั้นอ้าปากค้างจนสามารถยัดไข่ไก่ฟองหนึ่งได้เลย
เห็นเพียงยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนใต้เท้ามีรากงอก ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวอยู่ที่ มือขวาของเขาไม่รู้ว่ายกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร จับหมัดที่พี่เก้ากวัดแกว่งเข้ามาอย่างมั่นคง
“แม่งเอ๊ย แกปล่อยฉันออกเลยนะ!” พี่เก้าอัดอั้นจนหน้าแดงจัด เคยคิดที่ไหนว่าเย่เทียนจะสามารถรับการโจมตีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของตนเองได้
“ความสามารถแค่นี้ของแกยังเป็นลูกพี่ได้? โถๆ เป็นพวกห่วยแตกเสียจริง!”
เย่เทียนเบ้ปาก ตอนที่พี่เก้ายังไม่ตอบสนองเข้ามา ก็ถีบเท้าออกมาทีหนึ่งแบบไม่ลังเลสักนิด
ตึง!
ถีบตำแหน่งท้องน้อยของพี่เก้าด้วยเท้าใหญ่อย่างแรง ความเจ็บที่แสนทรมานทำให้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดออกมาแบบช่วยไม่ได้
เขามีความคิดอยากจะถอยทัพ แต่หมัดด้านขวากลับถูกเย่เทียนจับไว้แน่น เขาจะหนีได้อย่างไร?
แต่ทว่า เย่เทียนไม่ได้ปล่อยพี่เก้าไปแค่นี้ ยกมือซ้ายขึ้นตบหน้าเข้าไปอย่างร้อนแรงแล้ว
ป้าบ!
เสียงตบที่กังวานดังขึ้น พี่เก้าหมุนวนอยู่ที่เดิมสองรอบ ร่างกายสูงใหญ่ล้มลงดังครืน
ผู้คนในที่นี้มองตาค้างกันหมด
“โอ้มายก็อด บอดี้การ์ดกระจอกคนนี้ค่อนข้างโหดเหี้ยมเกินไปมั้ง?”
“มิน่าเขาถึงกล้ามาตามทวงหนี้คุณชายจางแล้ว รู้สึกว่ายังมีความสามารถอยู่นะ!”
จางเวยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พูดอย่างโมโห “เข้าไปด้วยกันให้หมด! ใครคว่ำไอ้หนุ่มคนนั้นได้ ฉันให้รางวัลหนึ่งแสน!”
เมื่อมีรางวัลราคาสูงย่อมมีผู้กล้าก้าวออกมา
ลูกน้องสิบกว่าคนที่เดิมทีตกใจค้างพอสมควรต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ร้องคำรามพุ่งเข้าไปยังเย่เทียน
เย่เทียนจะสนใจคนฝีมือแย่พวกนี้ได้อย่างไรกัน เดินเข้าไปแบบไม่หลบแต่เดินหน้าสู้ฉับไว ซ้ายออกหมัดขวาเตะ ชั่วพริบตาก็ล้มสองคนคว่ำได้
คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่โดยรอบมองจนในใจสั่นสะท้าน นึกถึงที่ไหนว่าเย่เทียนภายนอกนิ่งเฉยจะพลังล้นเหลือขนาดนี้
แต่ละครั้งที่เย่เทียนโจมตี ล้วนทำให้คนหนึ่งสูญเสียพลังต่อสู้ไป นอนเจ็บปวดบนพื้นร้องโหยหวนไม่หยุด ผู้คนดูจนตกตะลึงพรึงเพริด เดิมทีไม่อยากเชื่อเหตุการณ์ฉากนี้
“สรุปว่าเจ้าหมอนั่นโผล่ออกมาจากไหน ฝีมือพูดได้ว่าแข็งแกร่งเกินไปแล้วมั้ง?”
“ถีบมาทีเดียวทำคนลอยไปหลายเมตร นี่กลัวว่าไม่ใช่ถ่ายหนังอยู่เหรอ?”
เพียงแต่ ถ้าให้พวกเขารู้แน่ชัดว่านี่เป็นเย่เทียนจงใจอย่างออมมือล่ะก็ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตบหน้าตนเองสักสองทีแรงๆ หรือไม่ ดูว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า
ช่วงเวลาแค่พริบตาเดียว อันธพาลสิบกว่าคนที่เมื่อสักครู่ยังทำท่าก้าวร้าวถูกเย่เทียนล้มคว่ำที่พื้น ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดออกมา
จางเวยตกใจจนมึนงงไปตั้งนานแล้ว เคยคิดที่ไหนว่าเย่เทียนจะห้าวหาญขนาดนี้ ตาเห็นว่าเส้นสายตาของเย่เทียนมองเข้ามา ในใจถูกความหวาดกลัวครอบงำเต็มๆ หมุนตัวอยากจะวิ่งหนีแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่ เย่เทียนจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรล่ะ? ร่างกายวาร์ปหาย ตกลงด้านหลังจางเวยราวกับภูตผี ฝ่ามือใหญ่บีบไหล่ของจางเวยไว้แน่น
กึก!
น่าสงสารจางเวยไม่ทันตอบสนองเข้ามา ก็รู้สึกตาลาย ร่างกายลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นกระแทกบนพื้นที่เย็นเฉียบอย่างหนักอึ้ง
“โอ๊ย……”
จางเวยที่ล้มจนเกือบกระดูกหักเป็นสี่ท่อนส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ไม่รอเขาปีนขึ้นมา เท้าใหญ่เบอร์สี่สิบสองของเย่เทียนนั้นเหยียบบนหน้าอกของเขาแบบไม่ลังเลสักนิด
จางเวยรู้สึกทันทีว่าเหมือนมีห้าร้อยกิโลทับตนเองอยู่ ไม่ต้องพูดว่าจะขยับ คืออยากหายใจสะดวกยังยากเลย
เย่เทียนโน้มตัวเล็กน้อย มองจางเวยจากบนลงล่าง พูดแบบยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ฉันว่านะคุณชายใหญ่จาง ตอนนี้นายควรจะยอมให้เงินมาดีๆ มั้ง?”
ในใจจางเวยตกใจกลัว แต่พอนึกถึงว่าต้องชดใช้ด้วยเงินสิบล้าน ก็ยากจะไม่ปวดใจ พูดดิ้นรน “แม่งเอ๊ย แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? นึกไม่ถึงแกจะกล้าตีฉัน ฉันรับรองว่าจะทำให้แกเสียใจ!”
“ฉันว่านะคุณชายใหญ่จาง สมองนายมันเสียหายตรงไหนแล้วเหรอ?”
เย่เทียนหัวเราะทันใด ใต้เท้าเพิ่มแรงอีกระดับหนึ่ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนายยังจะข่มขู่ฉัน ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเสียจริง!”
จางเวยรู้สึกทันทีว่าแรงกดบนตัวเพิ่มขึ้น โดนกดจนหายใจไม่ออกอยู่บ้างแล้ว สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปแดงขึ้น
“เอาแบบนี้แล้วกัน คุณชายใหญ่จาง ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ฉันจะให้โอกาสนาย”
เย่เทียนคิดวิธีการได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์บอกว่า “ฉันนับถึงสาม นายจะให้เงินมาดีๆ หรือฉันจะว่าตามที่นายสั่งเมื่อกี้นี้ หักมือทั้งคู่ของนายทิ้ง!”
“หนึ่ง สอง……”
“ให้เงิน! ฉันให้เงิน!” จางเวยกล้าลองดีที่ไหน ใครจะรู้ว่าเย่เทียนจะคลุ้มคลั่งหักมือทั้งคู่ของตนเองจริงหรือไม่
ได้รับคำตอบยืนยัน เย่เทียนรีบปล่อยเท้าออกทันที ฟื้นคืนสู่ท่าทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแบบก่อนหน้านี้ ราวกับเรื่องราวเมื่อสักครู่เดิมทีไม่ใช่เขาทำอย่างนั้น
เพียงน่าเสียดาย ภาพลักษณ์ชั่วร้ายเมื่อสักครู่ของเขานั้นประทับอยู่ส่วนลึกของทุกคนอย่างแนบแน่นแล้ว…..