การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 98
“ครั้งนี้ก็โชคไม่ช่วย”
“งั้นหรอ……”
“ขอประทานโทษด้วยครับ”
ซิกกับเซบาสรายงานหลังจากที่พวกเขากลับมาในตอนรุ่งสาง
มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเขาได้ออกค้นหาตามสถานที่ที่ฉันชี้แนะ ฉันเจอพื้นที่ช่องโหว่วหลังจากที่คำนวณข้อมูลย้อนกลับแล้วสั่งให้พวกเขาออกค้นหาแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังนำหน้าพวกเราอยู่ก้าวนึง
“แสดงว่าพวกเราด้อยกว่าในการต่อสู้ด้วยสมองสินะ”
“ตราบใดที่พวกเราเป็นฝ่ายที่ต้องเคลื่อนไหวก่อน, พวกเราก็จะเสียเปรียบครับ”
เซบาสพูดแบบนั้นเพื่อปลอบโยนฉันแต่ฉันก็อดรู้สึกผิดหวังกับความล้มเหลวนี้ไม่ได้
ถ้าพวกเราไม่เจอเธอก็หมายความว่าศัตรูของเรายังไม่เจอเธอเหมือนกัน นี่เป็นความโชคดีแต่ก็เป็นความโชคร้ายในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าเมืองหลวงจักรวรรดิจะกว้างขวาง, แต่มันก็ยังมีขีดจำกัด, ไม่ว่าเธอจะหนีได้เก่งแค่ไหน, สุดท้ายแล้วเธอก็จะถูกต้อนจนมุม ซึ่งก่อนที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น, มันคงจะดีกว่าถ้ารีเบคก้าเลือกติดต่อลีโอแต่การขาดการติดต่อมาจนถึงตอนนี้ก็แสดงว่าเธอไม่สามารถเข้าหาเขาได้
“ฮื่มม……ข้าควรล้มเลิกการสอดส่องรอบตัวลีโอดีไหมนะ?”
“ทำจริงคงไม่ได้หรอก เธอไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้และถ้ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นน้องชายของเจ้าหนูก็จะโดนจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไม่ใช่หรอ?
“ถูกต้องครับ ตราบใดที่พวกเรามีปัญหาในการกำจัดการตรวจสอบของฝ่ายอื่น, การถอดออกก็ไม่ใช่แผนที่ดี”
ฉันพยักหน้าให้กับความคิดเห็นของพวกเรา
ถ้าเขาไปเจอเรื่องวุ่นวายในเมือง, แล้วจัดการได้ไม่ดี, ท่านพ่อก็คงจะเข้ามาจัดการ
ช่วงนี้ในจักรวรรดิมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายและลีโอก็ได้รับการคาดหวังอย่างสูงในฐานะเจ้าชายผู้กล้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจักรวรรดิก็จะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
“ช่วยไม่ได้หล่ะนะ พวกเราต้องดำเนินต่อไปเหมือนเดิม”
“ดูเหมือนจะมีแค่วิธีนี้นั่นแหล่ะครับ”
“….เซบาส ข้าจะไปข้างนอกนะ ฝากเรื่องวิเคราะห์ข้อมูลกับเจ้าด้วย”
“ต้องการผู้ติดตามไหมครับ?”
“ไม่ ข้าอยากออกไปทำหัวให้โล่งซักหน่อย”
“เจ้าทำหัวให้โล่งด้วยการไปเดินเล่นในเมืองเนี่ยนะ? ช่างเป็นเจ้าชายที่แปลกจริงๆ”
พอได้ยินซิก, เซบาสก็ยิ้มออกมา
นี่คือสิ่งที่เหมือนกับงานอดิเรกสำหรับฉัน การเดินเล่นในเมืองเหมือนสามัญชนนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาและเป็นอิสระจากบรรยากาศที่ตึงเครียดทั้งหลาย
“แต่ออกไปโดยไม่มีผู้ติดตามมันจะเป็นปัญหาเอาได้นะครับ”
“จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอ? ตอนนี้น้องชายของเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์ไม่ใช่รึไง?”
“ไม่มีใครสนใจเพ่งเล็งเจ้าชายไร้ค่าหรอกหน่า แถมยิ่งตอนนี้, คงไม่มีใครโง่พอที่จะพุ่งเป้ามาที่ข้าด้วย ลีโอยังสืบสวนขุนนางทางใต้อยู่ ถ้ามีคนเพ่งเล็งข้ามันก็เหมือนเป็นอุปสรรคในงานของเจ้านั่น และถ้าเป็นแบบนั้นท่านพ่อก็จะยิ่งอยากสืบสวนเรื่องทางใต้หนักขึ้นและพวกที่เพ่งเล็งข้าก็จะเป็นฝ่ายที่เจอปัญหาแทน”
“แบบนั้นคงไม่เป็นไรหล่ะนะ แต่ระวังตัวด้วยเข้าใจไหม?”
ซิกไม่รู้ว่าฉันเป็นซิลเวอร์
แม้ว่าเขาอาจจะรับรู้ได้ถึงพลังการต่อสู้ของฉัน, แต่เขาก็ยังมองว่าฉันไร้พลังดังนั้นความเป็นห่วงของเขาจึงมาจากใจจริง
จริงๆแล้ว, ซิกเองก็เป็นคนใจดีสินะ
“ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้แล้วกัน”
พอพูดจบ, ฉันก็บอกลาพวกเขาแล้วออกไป
….
“คุณป้า, อันนี้เท่าไหร่?”
“อันนี้หรอ? สองเหรียญนากจักรวรรดิ”
“สองเหรียญนากหรอ? ไม่แพงไปหน่อยหรอ?”
ฉันชี้ไปยังผลไม้สีแดงแล้วถาม ฉันจำได้ว่าปกติมันราคาแค่เหรียญเดียว
เหรียญจักรวรรดิคือสกุลเงินที่ใช้กันทั่วจักรวรรดิและเป็นสกุลเงินที่มีอัตราหมุนเวียนมากที่สุดจากทั่วทั้งทวีป
มูลค่าที่ตำที่สุดก็คือเหรียญทองแดงจักรวรรดิ ส่วนเหรียญนากนั้นมีค่ามากกว่าทองแดงสิบเท่าและเหรียญเงินกก็มากกว่าเหรียญนากสิบเท่าโดยเป็นลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ
จากมูลค่าต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดก็คือเหรียญทองแดง, เหรียญนาก, เหรียญเงิน, เหรียญเงินขาว, เหรียญทอง, เหรียญทองคำขาว, และเหรียญรุ้ง
มีเหรียญทองคำขาวกับเหรียญรุ้งหมุนเวียนอยู่ในระบบไม่มากนัก ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่ามันสามารถใช้ได้แค่สำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างพ่อค้าด้วยกันหรือไม่ก็ประเทศ
โดยปกติแล้ว, รายได้ต่อเดือนของประชาชนในเมืองหลวงจักรวรรดิจะอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 8 เหรียญเงิน อย่างมากที่สุด, ค่าเงินหลักที่หมุนเวียนในกลุ่มประชาชนทั่วไปก็คือเหรียญทอง
“ขอโทษนะจ้ะ ช่วงนี้มีปัญหาเกิดขึ้นไปทั่วเลยใช่ไหมหล่ะ? เพราะอย่างนั้นการหมุนเวียนสินค้าก็เลยติดขัดไปหมดเลย”
“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นข้าขอสองลูกนี้แล้วกัน”
“ได้จ้ะ รวมทั้งหมดก็สี่เหรียญนะ”
ฉันเอาเหรียญนากสี่เหรียญออกมาจากถุงเงินที่ห้อยเอาไว้ที่เอวของฉันแล้วส่งให้เธอ
จากนั้นฉันก็รับผลไม้มาจากเธอสองลูกแล้วเดินเล่นในเมืองต่อในขณะที่กินพวกมัน
เมืองมีชีวิตชีวาดี อย่างไรก็ตาม, ราคาสินค้ากำลังเพิ่มขึ้นเพราะเหตุการณ์ใหญ่ๆอย่างวิกฤติมอนส์เตอร์หรือเหตุการณ์ทางใต้
“ต้นเหตุก็คือสงครามผู้สืบทอดสินะ”
ฉันถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา
มันไม่ใช่สิ่งที่คนซึ่งเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดอย่างจริงจังแบบฉันจะบ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ฉันไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินเอาชีวิตรอด นี่มันช่างน่าขำจริงๆ
รายได้ต่อเดือนของประชาชนอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 8 เหรียญเงินแต่ราชวงศ์ได้รับเงินเดือนละอย่างน้อย 3 เหรียญทองเป็นเงินสนับสนุนอยู่แล้ว คนทั่วไปคงไม่มีเงินถึงขนาดนั้นต่อให้รวมเงินเดือนสำหรับทั้งสามเดือนแล้วก็ตาม
สำหรับเจ้าชาย, ยิ่งมีผลงาน, ก็ยิ่งได้มากและถ้าเอาตัวเองไปรับตำแหน่ง, ก็จะได้เงินเดือนมากขึ้นไปอีก
เหรียญทองที่ฉันให้ลินเฟียไปนั้นคือเงินสนับสนุนในส่วนของสิบปี จำนวนทั้งหมดของมันน่าจะอยู่ที่ประมาณสามเหรียญรุ้ง ซึ่งเงินขนาดนี้จำเป็นสำหรับการออกเรดเควส มันคือราคาที่เทียบเท่ากับจำนวนเงินในการเสนอชื่อนักผจญภัยแรงค์ SS ทำการกิจ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ลินเฟียรู้สึกปลาบปลื้ม
ส่วนซิลเวอร์นั้นในหมู่นักผจญภัยแรงค์ SS ถือว่าค่อนข้างให้ความร่วมมือกับกิลด์ ด้วยการที่ฉันยอมรับคำขอโดยตรงจากกิลด์, จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการเสนอชื่อ
เหตุผลที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะฉันรู้สึกไม่ดีที่ต้องรับค่าธรรมเนียมการเสนอชื่อแม้ว่าฉันจะได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากในฐานะเจ้าชายอยู่แล้ว
“แต่ถ้าทำโดยไม่รับเงินเลยก็คงจะดูเสแสร้งไปหล่ะนะ…..”
ในขณะที่พึมพำออกมา, ฉันก็เห็นเด็กสาวคนนึงกำลังทำสีหน้าลำบากใจอยู่ตรงแผงขายของที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผมสีม่วงอ่อนของเธอเป็นที่น่าจับตามองแต่สิ่งที่ดูสะดุดตามากกว่าสำหรับฉันก็คือลักษณะเฉพาะของเธอ
หูของเด็กสาวยาวออกมาเล็กน้อย, มันคือลักษณะของครึ่งเอลฟ์ เสื้อผ้าของเธอมีฮู้ดคลุมอยู่ด้วย, เธอน่าจะใช้ซ่อนหูเอาไว้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าพ่อค้าจะรู้เข้าและเธอก็กำลังต่อล้อต่อเถียงกับเขาอยู่
“ก่อนหน้านี้บอกว่าสองเหรียญเงินไม่ใช่หรอ!”
“หนวกหู! สำหรับครึ่งเอลฟ์มันคนละเรื่องกัน! ถ้าเจ้าอยากได้ก็จ่ายมาสองเหรียญเงินขาวซะ!”
ถุงของเด็กสาวเต็มไปด้วยอาหารดังนั้นวันนี้เธอน่าจะออกมาจ่ายตลาด
ดูเหมือนว่าฮู้ดคลุมของเธอจะตกลงมาในตอนที่กำลังจ่ายเงิน
จักรวรรดิเป็นประเทศที่ยอมรับกึ่งมนุษย์ต่างๆนาๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเลือกปฏิบัติที่นี่ ฉันได้ยินมาว่าการที่ได้เจอพ่อค้าที่เต็มใจขายสินค้าให้พวกเขาก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับผู้อพยพแล้ว ในกลุ่มพวกเขา, ดูเหมือนว่าครึ่งเอลฟ์จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ด้วยซ้ำ พวกเขาถูกเกลียดถึงขนาดนั้น
ไม่ใช่แค่มนุษย์พวกเอลฟ์เองก็ไม่ต่างกัน, เอลฟ์ไม่ชอบมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว, แต่พวกเขาเกลียดครึ่งเอลฟ์ยิ่งกว่าเพราะมีสายเลือดของพวกเขาผสมอยู่ด้วย
มนุษย์มีอคติกับครึ่งเอลฟ์เพราะแตกต่างจากพวกเขาและพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงครึ่งเอลฟ์ที่มลักษณะคล้ายกับเอลฟ์มาก
การที่ทำให้เรื่องมันเป็นปัญหามากขึ้นแบบนี้, ดูเหมือนว่าพ่อค้าคนนี้แต่เดิมแล้วคงไม่ใช่คนของจักรวรรดิ เขาน่าจะมาจากที่อื่น
ฉันเข้าใจเรื่องนั้นจากเสียงกระซิบของผู้คนที่อยู่รอบๆ
“อุตส่าห์ออกมาเดินเล่นเพื่อทำหัวให้โล่งหน่อยแท้ๆ……”
มีหลายคนที่รู้สึกสงสารเธอแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
มันเป็นเรื่องยุ่งยากดังนั้นพวกเขาจึงแค่ทำเป็นมองไม่เห็นเธอสินะ
หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย, เด็กสาวก็ตัดใจแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็ส่งถุงอาหารกลับไปให้พ่อค้า
“เดี๋ยวก่อนสิ”
นี่มันก็แค่การทำไปตามอำเภอใจ
ฉันไม่ชอบสิ่งที่เห็นและมันคงจะรู้สึกไม่ดีถ้าปล่อยเธอไปแบบนี้
แถมฉันนอนไม่พอด้วยดังนั้นจึงหลุดทำแบบนี้ไปได้ง่ายๆ
ฉันเรียกพ่อค้ากับเด็กสาว
จากนั้น, ฉันก็คว้าถุงมาจากพ่อค้าแล้วเอาเงินสองเหรียญเงินขาวยัดใส่มือเขา
“พอรึยัง?”
“เอ๊ะ? อา, เอ่อ…..”
“ต้องการเท่าไหร่? เจ้าอยากได้อย่างน้อยหนึ่งเหรียญทองเลยไหมถึงจะทำตัวเป็นมิตรกว่านี้?”
“อ, อะไรของเจ้าเนี่ย! เจ้ามาจากไหนกัน! นี่มันเป็นปัญหาของข้าเข้าใจไหม!”
“ที่นี่คือจักรวรรดิ พวกเราเปิดรับกึ่งมนุษย์ทุกคน”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย! ถึงยังไงครึ่งเอลฟ์ก็ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือกึ่งมนุษย์อยู่แล้ว!”
“พอแค่นั้นเถอะ ข้าจ่ายให้แล้ว ตอนนี้พวกเราจะไปกันแล้วโอเคไหม?”
“ไม่! ถ้าเจ้าอยากได้จริงๆก็จ่ายมาหนึ่งเหรียญทอง!”
พ่อค้าเผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมา
เขาน่าจะอยากหาประโยชน์จากฉันเพราะคิดว่าฉันเป็นคนดีสินะ
ช่างโง่จริงๆ
คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่ง, มันคงจะชัดเจนสำหรับผู้คนที่มีความยุติธรรมว่าเขาพยายามจะหาประโยชน์จากฉัน
ด้วยการแสดงอำนาจข่มขู่ที่ชัดเจนแบบนี้, เสียงนินทารอบตัวพวกเราจึงดังขึ้นแต่พ่อข้าก็ยังคงแหกปากพูดต่อ
“พวกเจ้าทุกคนเงียบไปเลย! ช่วงนี้การหมุนเวียนอาหารในจักรวรรดิของเจ้ากำลังติดขัด! ข้าอุตส่าห์ดั้งด้นเอาอาหารมาให้ถึงที่นี่ไม่เห็นรึไง!? มันคงจะไม่คุ้มกับความลำบากของข้าเลยถ้าข้ายังเลือกลูกค้าที่อยากขายให้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
พอพูดจบพ่อค้าก็ยื่นมือมาที่ถุงอาหารของเด็กสาว
ฉันคว้ามือของเขาแล้วจ้องพ่อค้าตาเขม็ง
แค่นอนไม่พอมันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดอยู่แล้วแต่นี่มันยิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นไปอีก
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าพล่ามไปมากกว่านี้อีกแล้วนะ”
พอพูดจบ, ฉันก็ใช้มือที่ว่างอยู่หยิบเหรียญทองออกมา
พ่อค้ายิ้มแล้วยื่นมือมาที่เหรียญทอง
ในตอนนั้นเอง, ก็มีเสียงดังมาจากนอกวง
“นี่!? เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย!?”
เจ้าหน้าที่จากการ์ดเมืองพูดในขณะที่เขาฝ่าฝูงชนเข้ามาที่นี่
เขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ, คุณเจ้าหน้าที่ ข้าพึ่งจะปิดการซื้อขายกับเขาเสร็จ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
“ปิดการซื้อขายหรอ….?”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก็มองมาที่ฉัน
ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่ทำความเคารพด้วยความตื่นตระหนก
“อ, องค์ชายอาร์โนลด์!?”
“รู้จักข้าด้วยหรอ?”
“ค, ครับ, องค์ชาย! ข้า, ข้าอยู่ฝ่ายสนับสนุนองค์ชายลีโอนาร์ดครับ”
พอพูดจบ, เขาก็ปรับท่ายืนให้ถูกต้อง
จากวิธีที่เขาพูด, ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากขุมอำนาจของลีโอหรือไม่ก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่าง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเนียนเป็นลีโอที่นี่
แถมตอนนี้ลีโอออกไปนอกเมืองด้วย, จะให้เนียนก็คงไม่ไหวหล่ะนะ
“เจ้ามาได้เวลาพอดี ขอถามหน่อยสิ, การขึ้นราคาสินค้าแค่เพราะลูกค้าเป็นครึ่งเอลฟ์นี่มันไม่เป็นอะไรหรอ?”
“บ, แบบนี้มันยกโทษให้ไม่ได้แล้ว! จักรวรรดิของเราเปิดรับทุกเผ่าพันธ์และพ่อค้าก็ต้องรับปากว่าจะทำการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเพื่อให้ได้รับการอนุญาติในการทำธุรกิจในเมืองหลวงจักรวรรดิครับ, องค์ชาย!”
“ถ้างั้นก็ริบใบอนุญาตของไอ้หมอนี่ซะ เมื่อสักครู่นี้เขาขึ้นราคาไปตั้งสองเท่า ถ้าเจ้าไม่จับเขา, ลีโอจะโกรธเอาได้นะรู้ไหม?”
“ค, ครับ! ทราบแล้วครับ!”
“ด, เดี๋ยวก่อนสิ! ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าชาย! อ, องค์ชาย! โปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ซักหน่อย เจ้าไม่ได้ถูกจับเพราะทำตัวไม่ดีกับข้า มันเป็นเพราะเจ้าทำผิดกฏต่างหากหล่ะ ที่นี่คือจักรวรรดิ เก็บเหรียญทองเอาไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นค่าเรียนก็แล้วกัน”
พอพูดจบ, ฉันก็คว้ามือเด็กสาวแล้วออกไป
ฉันอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
หลังจากเดินไปได้ซักพัก, เสียงก็ดังมาจากข้างหลังฉัน
“เอ่อ, คือว่า…มือหน่ะ….”
“หืม? อ้ะ, ขอโทษที”
พอพูดจบ, ฉันก็ปล่อยมือเธอ
ถึงยังไงการจับมือสาวที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อก็ถือว่าเสียมารยาทแหล่ะนะ
ในตอนที่ฉันขอโทษ, เด็กสาวก็ส่ายศรีษะแล้วเผยรอยยิ้มสดใสให้กับฉัน
“ไม่หรอกค่ะ, ขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้ อ้ะ, ไม่ใช่สิ เป็นพระคุณมากเลยค่ะ, องค์ชาย”
“ตอนนี้ข้ามาเดินเล่นแบบไม่เปิดเผยตัวตน มันจะดีกว่านะถ้าเจ้าพักเรื่องพวกนั้นเอาไว้ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหล่ะ?”
บางทีฉันน่าจะพูดตรงเกินไปดวงตาของเด็กสาวจึงเบิกกว้าง
จากนั้นเธอก็ยิ้มแล้วยื่นมือขวาออกมา
“ก็ได้ค่ะ ข้ามีชื่อว่าโซเนีย โซเนีย ลาสเปด อย่างที่ท่านเห็น, ข้าเป็นครึ่งเอลฟ์ค่ะ”
“ข้าไม่ถือเรื่องนั้นหรอก ข้าอาร์โนลด์ จะเรียกว่าอัลก็ได้”
“อื้ม! ถ้างั้นจะเรียกว่าอัลคุงนะ!”
และนี่ก็คือการพบกันของฉันกับโซเนีย