การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 51
เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน
ในตอนนั้น, จักรวรรดิกำลังทำสงครามกับจักรวรรดิเพเลอริน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, จักรวรรด์โซคัลทางตะวันออกก็ได้บุกรุกและทำลายประเทศของคนแคระที่ตั้งอยู่ติดกับจักรวรรดิอาเดรเซีย
คนแคระหลายคนได้หนีเข้ามาอยู่ในจักรวรรดิและราชวงศ์บางส่วนของพวกเขาก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม, จุดมุ่งหมายของจักรวรรดิโซคัลนั้นไม่ใช่เงินทองที่พวกคนแคระสั่งสมเอาไว้แต่เป็นทักษะการตีเหล็กของพวกเขาดังนั้นจักรวรรดิโซคัลจึงออกคำเตือนมาให้จักรวรรดิอยู่หลายครั้ง
ซึ่งการตอบสนองของจักรวรรดิก็คือ [มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะกีดกั้นการอพยพอย่างเด็ดขาด] แต่ถึงกระนั้นจักรพรรดิของจักรวรรดิโซคัลก็หมดความอดทนและส่งลูกชายของเขามาที่จักรวรรดิในฐานะทูต
“นี่มันค่อนข้างจะเป็นปัญหานะครับเนี่ย”
“สุดๆเลยหล่ะ”
จักรพรรดิโยฮันเนสพยักหน้าให้กับคำพูดของฟรานซ์, นายกรัฐมนตรีของเขา
สามประเทศที่เป็นมหาอำนาจของทวีปนี้มีจักรวรรดิอาเดรเซีย, จักรวรรดิเพเลอริน, และจักรวรรดิโซคัล ในด้านภูมิศาสตร์นั้นอาเดรเซียถูกประกบอยู่ตรงกลางของทั้งสองประเทศนี้
การไปมีเรื่องขัดแย้งกับจักรวรรดิโซคัลในขณะที่พวกเขาทำสงครามกับเพเลอรินอยู่นั้นเป็นสิ่งที่จักรวรรดิอยากจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด
“ถ้าพวกเรายกเลิกการคุ้มครองพวกคนแคระ, กึ่งมนุษย์ที่อยู่ทั่วทวีปก็จะกลายเป็นศัตรูของพวกเรา แน่นอนว่า, นี่รวมถึงกึ่งมนุษย์ที่อาศัยอนู่ในจักรวรรดิของเราด้วย และถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะไม่สามารถทำสงครามกับประเทศอื่นได้อีกต่อไป”
“แสดงว่าพวกเราต้องเลือกสินะว่าจะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิโซคัลหรือพวกกึ่งมนุษย์”
“มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกครับ ถ้าพวกเราส่งเทคนิคของคนแคระไปให้สถานการณ์น่าจะสงบลงซักพักนึง”
“แล้วพวกเราควรส่งอะไรให้หล่ะ?”
“จักรวรรดิโซคัลมีจุดเด่นอยู่ที่พลังเวทย์ แต่ว่า, พวกเขามีปัญหาในการผลิตอัญมณีที่ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอัญมณีขนาดใหญ่ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอาวุธเวทมนตร์, พวกเขากำลังขาดแคลนอย่างรุนแรง”
คำจำกัดความโดยทั่วไปสำหรับอัญมณีก็คือแร่ที่มีความสามารถในการกักเก็บพลังเวทย์ ด้วยคุณสมบัติในการกักเก็บพลังเวทย์นี้เอง, มันคือวัตถุดิบอันล้ำค่าที่สามารถใช้ซ้ำได้ต่อให้ใช้พลังเวทย์ที่อยู่ข้างในไปจนหมดแล้วก็ตาม
โดยปริมาณของพลังเวทย์ที่สามารถกักเก็บได้นั้นแตกต่างกันไปตามขนาดของอัญมณี ยิ่งอัญมณีชิ้นใหญ่เท่าไหร่, ก็ยิ่งมีพื้นที่กักเก็บมากเท่านั้น
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าควรส่งมันให้กับพวกนั้นสินะ? ไม่ชอบใจเอาซะเลย นี่พวกเราต้องแสดงท่าที่อ่อนแอแบบนี้กับพวกนั้นจริงๆหน่ะหรอ? พวกเราทำได้แค่ให้ที่หลบภัยกับพวกที่หนีมาจากเจ้าพวกนั้นใช่ไหม?”
“ครับ พวกเราต้องหลีกเลี่ยงการปะทะจากศัตรูทั้งสองด้าน แต่ก็ถือว่ายังโชคดีนะครับ, ที่ประเทศของเราไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการผลิตอัญมณี ด้วยเหตุนี้เอง, การให้สิ่งที่พวกนั้นต้องการเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามนั้นจึงถือเป็นราคาที่ถูกมาก มันไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะส่งเหมืองของเราให้กับพวกนั้นเพราะฉะนั้นมันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับประเทศของเราครับ”
เป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว, ที่จักรวรรดิโซคัลขุดเหมืองอัญมณีข้างในดินแดนของพวกเขาเพื่อนำมาพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ซึ่งนี่ก็ส่งผลให้, ปริมาณอัญมณีที่ขุดได้ลดลงปีต่อปี
ในอีกด้านนึง, จักรวรรดินั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การทำเหมืองอัญมณีและยังมีเหมืองแร่ชั้นยอดอยู่ในการครอบครอง ด้วยสองปัจจัยนี้เองจักรวรรดิจึงไม่มีปัญหากับการจัดหาอัญมณี
“ป้อนข้าวให้สัตว์มันกินจะได้เงียบๆไปสินะ ก็ได้, ข้าเองก็ไม่อยากจะผลักภาระให้กับกองทัพของเราอีกแล้ว”
“ใช่แล้วครับ ตอนนี้ส่งอัญมณีขนาดใหญ่ให้พวกนั้นเพื่อทำให้สงบลงก่อนจะดีกว่า แนวหน้าทางฝั่งตะวันตกเองก็มีแนวโน้มว่าจะรุกเข้าไปต่อไม่ได้แล้วด้วย, บางทีการพักรบในช่วงนี้ก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะครับ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ถึงยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าอยู่แล้ว ทางฝั่งนั้นเองก็คงจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา”
จากนั้น, โยฮันเนสกับฟรานซ์ก็จบการสนทนา
….
วันนี้คือวันส่งมอบ, ฟรานซ์ได้เตรียมอัญมณีชิ้นใหญ่รอเอาไว้และมุ่งหน้าไปให้การต้อนรับทูต
และในวันนี้เองก็มีเด็กสาวคนนึงมาเยี่ยมที่ปราสาทด้วย
เด็กสาวคนนี้มีผมสีซากุระ, ซึ่งเธอก็คือเอลน่าในวัยหกขวบนั่นเอง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เต็มเปี่ยม, ผนวกกับเวลาว่างที่มากเกินไปเนื่องจากพ่อของเธอกำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่, เอลน่าจึงเดินเล่นไปตามเส้นทางของตัวเอง
“อ้าว?”
ในตอนที่เธอรู้สึกตัว, เอลน่าก็มาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักเข้าซะแล้ว
เธอลองมองไปรอบๆแต่ก็ไม่มีอะไรที่เธอจำได้เลย
เอาเถอะ, ถึงยังไงก็ยังอยู่ในปราสาทหล่ะนะ, ด้วยความคิดเช่นนี้, เอลน่าก็เดินต่อเพื่อมองหาใครซักคนที่เธอสามารถถามทางได้
ในตอนนั้นเอง, เธอก็เจอช่องเล็กๆข้างในกำแพงปราสาท มันมีขนาดใหญ่พอที่จะให้เด็กตัวเล็กๆลอดผ่านได้
ด้วยความที่มันถูกซ่อนอยู่ข้างหลังพุ่มไม้, มันจึงดูเหมือนกับทางระบายอากาศแต่ว่ามันกลับมีการบำรุงรักษาที่ดีราวกับว่ามันเป็นทางเข้าฐานลับ
ความสงสัยของเธอผุดขึ้นมา, เอลน่าคลานลงไปแล้วมุดเข้าไปในช่องนั้น
หลังจากผ่านช่องมืดๆไปได้ซักพัก, เธอก็มาถึงห้องมืดๆแห่งนึง
มันคือห้องปิดตายที่ได้รับความสว่างจากแสงสลัวๆซึ่งเอลน่าก็รู้สึกตัวได้ในเวลาไม่นานว่าเธอกำลังยืนอยู่ในคลังสมบัติ
“เหวออ……”
สถานที่แห่งนี้ใหญ่กว่าคลังสมบัติที่บ้านผู้กล้าหาญซะอีกแถมยังมีสมบัติอยู่เต็มเลยด้วย
จากนั้นเอลน่าก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
“ดาบเวทมนตร์นี่หน่า!”
ดาบเวทมนตร์เป็นอาวุธที่สามารถปล่อยพลังเวทย์อย่างไฟหรือลมออกมาได้
นอกจากนี้, สิ่งที่วางอยู่ข้างในกล่องสมบัตินั้นไม่ใช่ดาบเวทมนตร์ที่ดูทันสมัยแต่เป็นดาบโบราณ
เอลน่าหยิบมันขึ้นมาด้วยมือข้างนึงแล้วชักมันออกจากฝัก
จากนั้นเอลน่าก็หลงไหลในประกายและความคมของมันแล้วเธอก็ลองเหวี่ยงมันไปรอบๆอยู่หลายครั้ง
“อื้มม! เป็นดาบที่ดีใช้ได้เลยนะเนี่ย!”
ดาบเล่มนี้ยาวเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กๆอย่างเอลน่าจะถือไหวแต่ว่าเธอนั้นเป็นสมาชิกของบ้านผู้กล้าหาญ เธอสามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายดายด้วยสมรรถภาพร่างกายของตัวเอง
ด้วยความรู้สึกถูกใจในความยอดเยี่ยมของดาบ, เอลน่าก็เริ่มทดสอบมันด้วยการลองกระบวนดาบของเธอ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะเป็นคลังสมบัติที่ใหญ่โต, แต่จะเกิดอะไรขึ้นหล่ะถ้ามีคนทำอะไรรุนแรงข้างในสถานที่ที่มีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้?
เอลน่าที่เพลิดเพลินกับการทดสอบดาบใหม่นั้นไม่ได้คิดถึงจุดนั้นเลย
“อ้ะ…..”
ดาบเหวี่ยงไปด้านข้างแล้วฟันเข้ากับกล่องใบนึงที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้า
กล่องใบนั้นถูกผ่าครึ่งด้วยการฟันที่คมกริบของเอลน่า ยิ่งไปกว่านั้น, พลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากกล่องยังทำลายอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ช่วยให้ความสว่างกับคลังสมบัติและแสงก็หายไป
ในความมืดมิด, เอลน่าได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นและหัวใจของเธอก็เริ่มเย็นวาบ หลังจากนั้นซักพัก, สายตาของเอลน่าก็เริ่มปรับเข้ากับความมืด
ด้วยการจ้องเข้าไปในกล่อง, เธอก็เห็นอัญมณีชิ้นใหญ่ถูกผ่าเป็นสองส่วน, ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าศรีษะของมนุษย์ซะอีก
นี่เราฟันโดนอะไรบางอย่างในคลังสมบัติอย่างนั้นหรอ
ในตอนที่เอลน่ารู้สึกตัวเธอก็เริ่มหวั่นวิตก, เธอพยายามจะประกอบมันกลับเข้าด้วยกันแต่ว่ามันก็ถูกตัดอย่างดีและไม่มีทางซ่อมได้แล้วด้วย
หลังจากนั้นซักพัก, เอลน่าก็เริ่มร้องไห้เพราะความรู้สึกสิ้นหวังและกังวล
“ฮ…ฮืออ…..ฮือออ……ท่านพ่อคะ—……”
“หืม? มีใครอยู่ข้างในนั้นด้วยหรอ? เหวอ, ทำไมถึงมืดขนาดนี้เนี่ย”
ในตอนนั้นเอง, ก็มีเด็กชายคนนึงมุดผ่านช่องที่เธอเข้ามา
ผมสีดำและดวงตาสีดำ เขาคืออาร์โนลด์ตอนอายุเจ็ดขวบ
อัลรู้สึกประหลาดใจเพราะมีแขกอยู่ในสถานที่ที่เขามักจะใช้เป็นที่ซ่อนส่วนตัวและข้างในที่มืดสนิทกว่าที่ควรจะเป็น แต่ว่าในเวลาไม่นานเขาก็สังเกตเห็นเด็กสาวกำลังร้องไห้อยู่
“นี่เจ้ากำลังร้องไห้อยู่หรอ?”
“ฮือ…กระซิกๆ……”
อัลที่มองไม่เห็นเพราะความมืดไม่รู้ว่าเด็กสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างในคลังนั้นเป็นใคร
เขารู้แค่ว่าเป็นเด็กสาวที่มีอายุพอๆกับเขา
อัลคลำไปรอบๆเพื่อเดินไปข้างหน้าแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเสียหาย
“ค่อนข้างมีประกายงั้นหรือ….หรือว่านี่จะเป็นอัญมณีที่เราได้ยินมา”
“อ, อัญมณีหรอ…..?”
“ใช่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกเตรียมไว้เป็นของขวัญให้กับทูตที่จะมาในวันนี้”
“ท…ทูตหรอ…..? ฮึ, ฮืออ…!”
“โถ่! อย่าร้องไห้สิ! เดี๋ยวข้าหาทางทำอะไรซักอย่างเอง”
ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็เพื่อทำให้เด็กสาวใจเย็นลง
อันที่จริงแล้วเขาคิดแค่ว่ามันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าเด็กสาวร้องไห้ไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม, สถานการณ์มันได้ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้ว
“ทางนี้ครับ, ท่านทูต”
มันคือเสียงของจักรพรรดิ
อัลหวั่นวิตกไปพักนึงแต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ในทันทีแล้วส่งเอลน่าไปที่ช่อง
“เร็วเข้ารีบเข้าไปข้างในแล้วหนีไปซะ!”
“แต่ว่า……”
“เร็วๆเถอะหน่า!”
แม้ว่าเขาจะยังเด็ก, แต่อัลก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ดี
จักรพรรดิมาแสดงอัญมณีให้ทูตดูด้วยตัวเอง ถ้าเขารู้ว่ามันพังไปแล้ว, เขาจะต้องโกรธอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นเจ้าชายจักรพรรดิอาจจะพอมีการลดโทษให้อยู่บ้างแต่ถ้าเกิดเขารู้ว่าคนร้ายเป็นเด็กที่ไหนก็ไม่รู้นั้นอัลไม่รู้เลยว่าจักรพรรดิจะลงโทษยังไง
เมื่อพิจารณาได้ถึงบทสรุปที่เลวร้ายที่สุด, อัลจึงรีบให้เอลน่าหนีไปผ่านช่องระบาย
ในตอนที่เอลน่ามุดเข้าไปได้นั้นเอง, ประตูคลังสมบัติก็เปิดออก
อัลถอนหายใจให้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้และสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับมัน
“นี่คือคลังสมบัติของจักรวรรดิเรา อัญมณีอยู่ที่…..หืม?”
“ข้าขอโทษจริงๆครับท่านพ่อ! ข้าเป็นคนทำมันพังเอง!”
อัลรีบคุกเข่าขอขมาในทันทีและขอโทษองค์จักรพรรดิที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จักรพรรดิ, ทูตพร้อมกับผู้คนที่อยู่รอบๆงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าไปพักนึง
มีเจ้าชายอยู่ในคลังสมบัติที่สมควรจะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาพร้อมกับมีอัญมณีที่ถูกผ่าครึ่งอยู่ข้างๆเขา
ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดต่อหน้าจักรพรรดิ
และมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองดูสีหน้าของจักรพรรดิเลยด้วยซ้ำ
จักรพรรดิเดินไปหาอัลอย่างช้าๆ
“เป็นฝีมือของเจ้าจริงๆหรอ? อาร์โนลด์
“ครับ……”
“ไม่ผิดแน่ใช่ไหม?”
“ครับ, ข้าเป็นคนทำเอง”
อัลเงยหน้าขึ้นแล้วตอบคำถาม
และในตอนนี้เองก็เป็นตอนที่อัลเห็นว่าสีหน้าขององค์จักรพรรดินั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน
จักรพรรดิหลับตาลงและค่อยๆสูดหายใจเข้าลึกๆ
จากนั้น
เพี้ยะ! เสียงแห้งๆจากการที่อะไรบางอย่างถูกฟาดดังก้องไปทั่วคลังสมบัติ
“หนอย! เจ้าโง่! รู้รึเปล่าว่าอัญมณีชิ้นนี้คือสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างอาเดรเซียกับโซคัลเลยนะ!? เจ้าทำลายมันทำไม!? นี่เจ้ามีสำนึกในฐานะเจ้าชายบ้างรึเปล่า!”
“…..ข้าขอโทษครับ…..”
ด้วยการอดกลั้นความเจ็บปวดที่แก้มของเขา, น้ำตาก็เริ่มคลออยู่ในดวงตาของอัล
อย่างไรก็ตาม, เขาไม่ได้ปล่อยโฮออกมา
เขาคิดว่าเขาจะร้องไห้ออกมาไม่ได้
เพราะเขารู้ว่า
เอลน่ายังไม่ได้ออกไป
นี่คือสาเหตุที่อัลไม่ยอมร้องไห้ เขาคิดว่าเธออาจจะย้อนกลับมาได้ถ้าเขาเริ่มร้อง
ในอีกด้านนึง, ในตอนที่เอลน่าเห็นอัลถูกตบ, เธอก็ร้องไห้หนักขึ้น
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี, อันที่จริงเธอกำลังคิดที่จะออกไปยอมรับความผิดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม, ความโกรธของจักรพรรดิทำให้เธอกลัวจนขยับตัวไม่ได้
“ใครก็ได้! พาเจ้าลูกโง่คนนี้ไปขังในคุกซะ! อย่าให้มันออกมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์! ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว!”
“….ข้าขอโทษด้วยครับ…..”
อัลพูดแค่คำขอโทษและไม่พูดอะไรที่เป็นการแก้ตัวเลย
เอลน่าที่กำลังมองดูอัลถูกพาตัวไปนั้นรู้สึกตัวว่าเธอทำอะไรไม่ได้เลยและหนีออกไปทางช่องระบาย
ในขณะที่ร้องไห้, เธอก็วิ่งผ่านปราสาทและเจอพ่อของเธอในที่สุด
“เอลน่า นี่เจ้าไปอยู่ไหนมา?”
“ท่านพ่อคะ! ท่านพ่อ! เจ้าชายหน่ะ! เจ้าชาย!”
“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน สงบสติลงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังซิ”
พอถูกพ่อของเธอพูดแบบนั้น, เอลน่าก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่ร้องไห้ไปด้วย
และเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ, หัวใจของเอลน่าก็เต็มไปด้วยความกังวล